สารบัญ บทนำ ข้อบวมและปวดคืออะไร? สาเหตุที่ทำให้ข้อบวมและปวด โรคข้อเสื่อม โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ การบาดเจ็บหรืออักเสบจากการใช้งานข้อมากเกินไป อาการข้อบวมและปวดทำให้เดินไม่ได้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? ระดับความรุนแรงของอาการ กรณีที่พบได้บ่อยและวิธีป้องกัน ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการข้อบวมและปวด ความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาแบบผิด ๆ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสาเหตุ วิธีการดูแลรักษาและบรรเทาอาการข้อบวมและปวด การรักษาทางการแพทย์ การดูแลตนเองที่บ้าน การป้องกันไม่ให้เกิดอาการข้อบวมและปวดจนถึงขั้นเดินไม่ได้ สรุปและคำแนะนำเพิ่มเติม 1.บทนำ อาการข้อบวมและปวดจนไม่สามารถเดินได้เป็นหนึ่งในอาการที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน หลายคนมักสงสัยว่าอาการเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสุขภาพข้อและกล้ามเนื้อ ในบทความนี้เราจะมาพิจารณาอาการข้อบวมและปวดในเชิงลึก เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง และวิธีดูแลรักษาเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบร้ายแรง 2.ข้อบวมและปวดคืออะไร? ข้อบวมและปวดเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคทางข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ หรือการบาดเจ็บโดยตรงจากการใช้งานข้อมากเกินไป อาการนี้อาจทำให้เกิดความไม่สบายตัวและจำกัดการเคลื่อนไหวอย่างมาก 3.สาเหตุที่ทำให้ข้อบวมและปวด อาการข้อบวมและปวดอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุมีลักษณะเฉพาะและวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป 3.1 โรคข้อเสื่อม โรคข้อเสื่อมเป็นการเสื่อมสภาพของข้อที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ทำให้ข้อเสื่อมไม่สามารถรับน้ำหนักและการเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม ทำให้เกิดอาการบวมและปวด 3.2 โรคเก๊าท์ โรคเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อ ทำให้เกิดอาการปวดบวมที่รุนแรง โดยเฉพาะที่ข้อต่าง […]
Author Archives: drsutt
สารบัญ บทนำ: โรคเก๊าท์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหาร โรคเก๊าท์คืออะไร: กลไกการเกิดและปัจจัยเสี่ยง อาหารกับการเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด อาหารที่มีพิวรีนสูงและผลต่อโรคเก๊าท์ อาหารที่ส่งเสริมการขับกรดยูริกและลดความเสี่ยง การบริโภคแอลกอฮอล์กับโรคเก๊าท์ แนวทางการบริโภคอาหารเพื่อป้องกันโรคเก๊าท์ บทสรุป: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเพื่อลดความเสี่ยงโรคเก๊าท์ คำถามที่พบบ่อย (Q&A) 1.บทนำ: โรคเก๊าท์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหาร โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นอย่างผิดปกติ จนตกผลึกกลายเป็นผลึกในข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดอาการอักเสบและเจ็บปวดอย่างเฉียบพลัน โรคนี้ถือเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบได้ทั่วไปในกลุ่มประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะได้รับผลกระทบจากโรคนี้มากขึ้น สาเหตุหลักของโรคเก๊าท์มาจากการมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเกินไป ซึ่งมีผลมาจากหลายปัจจัย เช่น การผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือการขับออกของกรดยูริกลดลงจากร่างกาย อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การบริโภคอาหารบางชนิดมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีสารพิวรีนสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์กรดยูริกในร่างกาย อาหารและโรคเก๊าท์: ความเชื่อมโยงที่ควรระวังในอดีต การแพทย์และโภชนาการมักแนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อสัตว์เครื่องใน อาหารทะเล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของอาหารในโรคเก๊าท์ได้พัฒนาไปมากขึ้น งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้เผยให้เห็นว่าอาหารบางประเภทนอกจากจะเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดแล้ว ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและสร้างผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้ อาหารยังส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงานของร่างกายและการทำงานของไต ซึ่งทั้งสองระบบนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกาย ความสำคัญของการเลือกอาหารในกลุ่มเสี่ยงการบริโภคอาหารที่เหมาะสมเป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการป้องกันการเกิดโรคเก๊าท์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น […]
รู้หรือไม่ว่า “โรคเก๊าท์” คือสัญญาณเตือนอะไรในร่างกายเรา? สารบัญ บทนำ: โรคเก๊าท์กับความสำคัญในการดูแลสุขภาพข้อ กลไกการเกิดโรคเก๊าท์: บทบาทของกรดยูริกและปัจจัยเสี่ยง 2.1 กรดยูริกและกระบวนการเผาผลาญพิวรีน 2.2 ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง อาการและการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดจากโรคเก๊าท์ 3.1 ลักษณะอาการของโรคเก๊าท์ 3.2 การสะสมของกรดยูริกในรูปของผลึก การตรวจวินิจฉัยโรคเก๊าท์: วิธีและหลักการที่ใช้ในทางการแพทย์ 4.1 การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับกรดยูริก 4.2 การตรวจน้ำข้อและการถ่ายภาพรังสี แนวทางการรักษาและจัดการโรคเก๊าท์อย่างครบวงจร 5.1 การใช้ยาในการรักษา 5.2 การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต การป้องกันและวิธีลดความเสี่ยงการเกิดโรคเก๊าท์ 6.1 การบริโภคอาหารที่เหมาะสม 6.2 การออกกำลังกาย 6.3 การรักษาโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้อง การดูแลสุขภาพระยะยาวสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ 7.1 การดูแลตนเองเพื่อป้องกันการกำเริบ 7.2 การติดตามระดับกรดยูริกในเลือด สรุปและข้อเสนอแนะสำหรับการจัดการโรคเก๊าท์ 1.บทนำ: โรคเก๊าท์กับความสำคัญในการดูแลสุขภาพข้อ โรคเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในรูปผลึกในข้อ โรคนี้เป็นที่รู้จักในทางการแพทย์มาอย่างยาวนาน และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบและปวดอย่างรุนแรงที่ข้อ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาการของโรคอาจมีความรุนแรงขึ้นและนำไปสู่โรคข้ออักเสบเรื้อรังที่ยากต่อการรักษา นอกจากนี้ การที่กรดยูริกสะสมยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าระบบการเผาผลาญและขับของเสียในร่างกายอาจมีความบกพร่อง จึงทำให้โรคเก๊าท์เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ควรได้รับการใส่ใจ 2.กลไกการเกิดโรคเก๊าท์: บทบาทของกรดยูริกและปัจจัยเสี่ยง 2.1 กรดยูริกและกระบวนการเผาผลาญพิวรีน […]
1. คำนำ: ทำความรู้จักกับโรคเก๊าท์ 2. โรคเก๊าท์คืออะไร? 3. สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ 4. อาการของโรคเก๊าท์ 5. การวินิจฉัยโรคเก๊าท์ 6. การรักษาและการจัดการโรคเก๊าท์ การใช้ยาในการรักษาโรคเก๊าท์ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต การออกกำลังกายและการควบคุมน้ำหนัก 7. โรคเก๊าท์มีโอกาสหายหรือไม่? 8. เคล็ดลับในการจัดการโรคเก๊าท์ในชีวิตประจำวัน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงและอาหารที่แนะนำ การดูแลสุขภาพจิตใจ การตรวจสุขภาพและการพบแพทย์เป็นประจำ 9. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเก๊าท์ 10. สรุป: การจัดการโรคเก๊าท์เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ________________________________________ 1. ทำความรู้จักกับโรคเก๊าท์ โรคเก๊าท์เป็นโรคที่หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้าง โรคนี้ส่งผลกระทบต่อข้อต่อในร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวด บวม และแดงอย่างรุนแรง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงโรคเก๊าท์อย่างลึกซึ้ง รวมถึงการรักษาและการจัดการโรคนี้ เพื่อให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นและคำถามที่หลายคนสงสัยคือ “โรคเก๊าท์มีโอกาสหายหรือไม่?” เราจะมาตอบคำถามนี้ในบทความนี้ 2. โรคเก๊าท์คืออะไร? […]
1. [คำนำ] 2. [โรคเก๊าท์คืออะไร?] 3. [ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์] 4. [อาการทั่วไปของโรคเก๊าท์] – [อาการเจ็บปวดที่ข้อต่อ] – [อาการบวมแดงที่ข้อต่อ] – [การเคลื่อนไหวที่จำกัด] 5. [วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคเก๊าท์] 6. [วิธีการรักษาโรคเก๊าท์] – [การรักษาด้วยยา] – [การรักษาแบบไม่ใช้ยา] 7. [วิธีการป้องกันโรคเก๊าท์] 8. [บทสรุป] 9. [คำแนะนำเพิ่มเติม] คำนำ โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อย และมักเกิดจากการสะสมของกรดยูริก (Uric acid) ในร่างกายที่มากเกินไป […]
อาการปวดสะโพกร้าวลงขา (Sciatica Pain) คืออาการปวดเริ่มต้นตรงบริเวณช่วงเอวหรือตรงสะโพก และจะมีอาการปวดร้าวไปจนถึงช่วงขาด้านหลัง ในบางท่านอาจจะร้าวไปจนถึงน่องหรือปลายเท้า ซึ่งอาการเหล่านี้วินิจฉัยได้เลยว่ามีความเกี่ยวข้องกับการถูกกดทับที่บริเวณเส้นประสาท โดยอาจจะเป็นเรื่องของหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับ หรืออาจจะเป็นลักษณะของกระดูกเสื่อมกดทับเส้นประสาทในผู้สูงอายุ กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรือจากสาเหตุอื่น ๆ และอีกหลายพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ ที่อาจจะก่อให้เกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขา (Sciatica Pain)ได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนี้ 1. การยกสิ่งของหนัก ๆ การยกสิ่งของหนักมาก ๆ การยกของผิดท่าอาจจะทำให้เราใช้กล้ามเนื้อหลังมากเกินไป จนทำให้เกิดการบาดเจ็บจึงส่งผลกระทบต่อกระดูกและข้อต่อกระดูกสันหลัง 2. การก้ม ๆ เงย ๆ บ่อย หรือการนั่งในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน อย่างเช่น การกวาดบ้าน, ถูบ้าน, ขัดห้องน้ำ และการนั่งในท่าเดิม ๆ โดยที่ไม่ปรับเปลี่ยนท่านั่ง อาทิเช่น การนั่งงอหลัง หรือแม้แต่การนั่งก้มคอ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานออฟฟิศหรือผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องคอยแบกรับน้ำหนักมากจนเกินไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อแนวกระดูกสันหลังได้อีกด้วย 3. การนอนผิดท่า […]
อาการปวดหลังร้าวลงขา เป็นอาการปวดหลังบริเวณเอวร้าวลงมาตรงบริเวณสะโพก และจะปวดร้าวลงมาที่ขา ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายจากกระดูกสันหลัง อย่างเช่น การเกิดโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท, ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ, กล้ามเนื้อหลังอักเสบ หรือว่าการเกิดอุบัติเหตุที่บริเวณกระดูกสันหลัง อีกทั้งการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การก้ม, การบิดเอว และการยกของที่หนัก ๆ เป็นต้น คนป่วยที่มีอาการปวดหลังร้าวลงมาที่ขา ก็มักจะเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และผู้สูงอายุ ถ้าหากมีอาการแบบนี้แล้ว คนไข้ไม่ควรปล่อยให้เกิดอาการที่รุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท เป็นอาการที่จะพบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มของผู้ที่มีอาการปวดหลังร้าวลงขา เพราะว่ากระดูกสันหลังบริเวณนี้จะรับน้ำหนักมาก และทำให้มีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเยอะกว่ากระดูกสันหลังส่วนอื่น ๆ จึงทำให้หมอนรองกระดูกอาจจะเกิดการแตกปลิ้นออกมาจนไปกดเบียดเส้นประสาท โดยจะมีอาการปวดที่บริเวณหลังช่วงเอวต่อกันกับสะโพก ร่วมกับอาการปวดร้าวลงขา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นที่บริเวณขาข้างใดข้างหนึ่ง อาจจะมีอาการชาหรือว่าอ่อนแรงร่วมของขา หรือว่าบริเวณปลายเท้าร่วมด้วยได้ โรคนี้มักจะพบในผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ก็คือการทำงานที่ต้องยกของหนัก,คนที่มีน้ำหนักตัวมาก, การสูบบุหรี่, การบิดตัวหรือก้มหลังอย่างรวดเร็ว และรุนแรง เป็นต้น 2. โรคกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท หรือโรคช่องโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ในกรณีนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบในผู้สูงอายุ หรือที่เราเรียกกันว่า ‘กระดูกทับเส้นประสาท’ โดยอาจจะมากับอาการปวดหลังร้าวลงที่บริเวณขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือจะอาจเป็นทั้งสองข้างก็เป็นได้ ร่วมกันกับมีอาการชาหรือว่าอ่อนแรงที่ขา โดยจะมีอาการมากขึ้นในเวลาที่ยืนหรือว่าเดินไปสักระยะหนึ่ง […]
หมอนรองกระดูกปลิ้น เป็นอาการปวดด้านหลังร้าวลงไปที่ขา หรือร้าวลงไปจนถึงปลายเท้า หรืออาจจะมีอาการชาและอ่อนแรงร่วมด้วย เป็นอาการที่อาจจะบ่งชี้ของโรคหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ซึ่งจะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุเพียงเท่านั้น แต่คนที่อายุน้อยก็สามารถที่จะเป็นโรคหมอนรองกระดูกปลิ้นนี้ได้เช่นกัน หมอนรองกระดูก เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างข้อของกระดูกสันหลัง โดยปกติทำหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกาย และเป็นตัวให้ความยืดหยุ่น ในขณะที่มีการก้มเงย บิดตัว ของตัวกระดูกสันหลัง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของมันค่อนข้างมีความสำคัญและมันต้องทำงานทุกวันแบบไม่มีเวลาพักนั่นเอง พอมันทำงานทุกวัน ก็เลยเกิดความเสื่อมขึ้น ประจวบกับกิจกรรมเสี่ยงที่ทำอยู่ ทำให้หมอนรองกระดูกปลิ้นได้ในที่สุดหมอนรองกระดูกโดยปกติทำหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกาย และเป็นตัวให้ความยืดหยุ่น ในขณะที่มีการก้มเงย บิดตัว ของตัวกระดูกสันหลัง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของมันค่อนข้างมีความสำคัญและมันต้องทำงานทุกวันแบบไม่มีเวลาพักนั่นเอง พอมันทำงานทุกวัน ก็เลยเกิดความเสื่อมขึ้น ประจวบกับกิจกรรมเสี่ยงที่ทำอยู่ ทำให้หมอนรองกระดูกปลิ้นได้ในที่สุด ฉะนั้นเมื่อคนเรามีอายุที่มากขึ้นหมอนรองกระดูกก็จะเริ่มเสื่อมและอาจจะทำให้เกิดภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น และนอกจากนี้ในคนที่มีอายุน้อยก็สามารถที่จะเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน ถ้าหากได้รับอุบัติเหตุท่ามารถส่งผลกระทบต่อกระดูกสันหลังโดยตรง หรือแม้แต่เกิดการลื่นล้ม ก็อาจจะทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือปลิ้นไปทับเส้นประสาทได้ การรักษาหมอนรองกระดูกปลิ้น ก็จะมีตั้งแต่การทำกายภาพบำบัด การฉีดยาเข้าไปในโพรงเส้นประสาทสันหลังเพื่อช่วยลดอาการปวดร้าวลงขา และการผ่าตัด แต่ต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงอาการที่หมอนรองกระดูกปลิ้นออกมา สำหรับการผ่าตัดหมอนรองกระดูกปลิ้นนั้น ก็มักจะเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ๆ ด้วยกล้อง Endoscope ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อ, ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด, ช่วยลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล และยีงสามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ทั้งนี้ ถ้าหากมีอาการปวดหลังมากผิดปกติ จนชาลงขาและเกิดการอ่อนแรงจนไม่สามารถจะทำกิจวัตรประจำวันได้ คนไข้ควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ได้ทำการตรวจวินิจฉัยและวางแผนในการรักษาอาการที่เหมาะสมต่อไป ดังนั้นท่านที่มีอาการปวดหลังร้าวลงขา ควรจะไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการตรวจและวินิจฉัยอาการว่ามีรุ่นแรงแค่ไหน มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อีกหรือไม่ เพื่อจะได้ให้แพทย์ทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับอาการของแต่ละบุคคล […]
หลายท่านอาจจะคิดว่าโรคหมอนรองกระดูกปลิ้น เกิดมาจากพฤติกรรมในการนั่งนาน ๆ, ก้ม ๆ, เงย ๆ, ก้มยกของ หรือว่าการแบกของหนักเป็นเวลานาน ๆ ซ้ำไปซ้ำมา และการประสบอุบัติเหตุเพียงเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วพฤติกรรมการไอ หรือ จามแรง ๆ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหมอนรองกระดูกปลิ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับผู้ที่มีหมอนรองกระดูกเสื่อมอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้หมอนรองกระดูกปลิ้นทับเส้นประสาทได้ ทำให้เกิดอาการปวดหลังร้าวลงขาร่วมกับอาการชาเกิดขึ้นได้ ทำไมแค่ไอ หรือจาม แล้วหมอนรองกระดูกปลิ้นได้ การไอหรือว่าการจามแรง ๆ ในแต่ละครั้ง ก็จะทำให้เกิดแรงดันในช่องปอด และช่องท้องเพิ่มมากขึ้นจากการหดตัวกันอย่างรุนแรงของกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ลำตัวของเรา จึงทำให้หมอนรองกระดูกที่มีหน้าที่คอยรับแรงกระแทกต้องทำงานหนักมากขึ้น และทำให้เกิดแรงดันที่หมอนรองกระดูกแบบเฉียบพลัน รวมไปถึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบขึ้นได้ในคนที่มีกล้ามเนื้อที่แกนกลางลำตัวที่ไม่แข็งแรง โดยเฉพาะในคนที่เป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมอยู่แล้ว และความดันที่เพิ่มขึ้นก็จะไปดันให้หมอนรองกระดูกปลิ้นออกมาจากรอยแยกของเปลือกหุ้มหมอนกระดูกไปกระทบกับเส้นประสาทได้ พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคหมอนรองกระดูกปลิ้น มีหลายพฤติกรรมที่เราทำเป็นประจำ อาจจะก่อให้เกิดอาการโรคหมอนรองกระดูกทับปลิ้นได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ดังต่อไปนี้ แบกของที่มีน้ำหนักมากเกินไปเพราะว่าการแบกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเกินไป โดยเฉพาะการแบกสิ่งของที่ผิดท่าอาจจะทำให้เราใช้กล้ามเนื้อหลังจนมากเกินไป จนทำให้เกิดการบาดเจ็บและส่งผลกระทบต่อหมอนรองกระดูกและข้อต่อของกระดูกสันหลัง การก้มเงยบ่อยหรือว่านั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ การทำกิจกรรมก้ม ๆ เงย ๆ เป็นประจำอย่าง เช่น การกวาดบ้าน, ถูบ้าน, ขัดห้องน้ำ, เล่นสมาร์ทโฟน รวมไปถึงการนั่งในท่าเดิม […]
โรคออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคของคนวัยทำงานที่เป็นกันมากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งนับวันยิ่งจะมีจำนวนของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นกันอย่างต่อเนื่องจนน่าตกใจ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าโรคออฟฟิศซินโดรมเป็นแล้วจะไม่หายเลย เพราะว่าทางการแพทย์สมัยนี้มีวิธีการรักษาที่หลากหลาย ให้ผู้ป่วยได้เลือกทำการรักษาตัวได้ตามความเหมาะสม อาทิเช่น การฝังเข็ม, การทานยา, การทำกายภาพบำบัด และวิธีอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายสภาพเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมชนิดเรื้อรังนั่นเอง แนวทางการรักษาออฟฟิศซินโดรม หลาย ๆ ท่านก็อาจจะลองค้นหาวิธีรักษา อาการโรคออฟฟิศซินโดรมด้วยตนเองกันมาบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะก็พบว่า แนะนำให้เราเริ่มจากการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ตามมาด้วยการบริหารร่างกายด้วยท่าต่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันหรือช่วยทำให้ทุเลาอาการปวดลง แต่ถ้าหากอาการปวดไม่ดีขึ้นจริง ๆ จึงค่อยไปปรึกษาแพทย์ และสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น ก็จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ วิธีแก้โรคออฟฟิศซินโดรมที่ได้ผลในระยะสั้น ส่วนใหญ่และจะเป็นการรักษาหรือให้บริหารร่างกายอย่างง่าย ๆ จะช่วยให้อาการทุเลาลง ไม่เป็นหนักขึ้น มักจะใช้ในการช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อต้นคอ, บ่า,ไหล่, หน้าอก,สะบัก, แขน และหน้าท้อง เช่น การยืดกล้ามเนื้อในขณะทำงานทำเป็นระยะ ๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนบน และกล้ามเนื้อส่วนล่าง โดยจะเน้นบริเวณกล้ามเนื้อที่เกิดอาการปวดบ่อย ๆ การนวดเพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือใช้แผ่นเจลประคบ หรือทานยาแก้ปวด การออกกำลังการกายก็เป็นการรักษาอาการปวด การรักษาด้วยวิธีทางเลือกอื่นๆ เช่น การฝังเข็ม […]