หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ “อาการชาที่ปลายมือหรือปลายเท้า” บางครั้งเกิดเพียงชั่วคราวจากการนั่งทับหรือกดทับเส้นประสาท แต่หากเกิดบ่อย ๆ หรือเป็นเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ เช่น โรคปลายประสาทอักเสบ เบาหวาน หมอนรองกระดูกทับเส้น หรือโรคเกี่ยวกับข้อและกระดูก ซึ่งหากละเลย อาจนำไปสู่ความพิการหรือคุณภาพชีวิตที่แย่ลงได้
บทความนี้ คลินิกเฉพาะทาง หมอสุทธิ์ จะพาคุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อาการชาที่ปลายประสาท ว่าสาเหตุคืออะไร มีสัญญาณเตือนแบบไหน ควรรักษาอย่างไร และเราจะป้องกันได้อย่างไร
สาเหตุและประเภทของอาการชา
1. การกดทับเส้นประสาท
- เกิดจากท่านั่งหรือนอนผิดท่า
- หมอนรองกระดูกเสื่อม กดทับเส้นประสาทไขสันหลัง
- เส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ (Carpal Tunnel Syndrome)
2. โรคประจำตัวที่เกี่ยวข้อง
เบาหวาน: ทำให้เส้นประสาทเสื่อม เกิดอาการชาตามปลายมือเท้า (Diabetic Neuropathy)
โรคข้ออักเสบ/เก๊าท์: ข้ออักเสบเรื้อรังอาจกดทับเส้นประสาท
การขาดวิตามินบี 1, บี 6, บี 12 ที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรระมัดระวังและหาสาเหตุโดยเร็ว
- ชาที่ ปลายมือหรือปลายเท้า เป็นประจำ
- รู้สึกเหมือนมี “เข็มทิ่ม” หรือแสบร้อนใต้ผิวหนัง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง หยิบของหล่นง่าย
- เดินไม่มั่นคง รู้สึกเหมือนเท้าไม่มีแรง
ชาเฉพาะข้างเดียว ร่วมกับปวดหลังหรือคอ → อาจเป็นสัญญาณ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
อาการชาร่วมกับปวดข้อหรืออักเสบ → อาจสัมพันธ์กับ โรคเก๊าท์หรือข้ออักเสบ
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจแนะนำการตรวจเพิ่มเติม เช่น
- การตรวจเลือด (เช่น น้ำตาลในเลือด, วิตามิน, การทำงานของไตและตับ)
- การตรวจเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ (Nerve Conduction Study, EMG)
- การตรวจภาพถ่าย เช่น MRI หรือเอกซเรย์ เพื่อดูว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับหรือไม่
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- การใช้ยาเพื่อลดอักเสบและบรรเทาอาการชา
- การเสริมวิตามินบี (B1, B6, B12) ในกรณีขาด
- กายภาพบำบัด เช่น การยืดเหยียด ฝึกท่าทาง และการใช้เครื่องมือกระตุ้นไฟฟ้า
- การปรับพฤติกรรม เช่น เลี่ยงท่าที่กดทับเส้นประสาท นั่ง เดิน ยกของให้ถูกหลัก
การรักษาแบบผ่าตัด
พิจารณาเฉพาะกรณีที่มีการกดทับเส้นประสาทอย่างรุนแรง เช่น หมอนรองกระดูกกดทับเส้น หรือ Carpal Tunnel Syndrome ระยะรุนแรง
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอาการชาที่ปลายประสาท ควรปฏิบัติดังนี้
- ควบคุมน้ำตาลในเลือด หากเป็นโรคเบาหวาน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- เลี่ยงท่านั่งหรือท่านอนที่กดทับเส้นประสาทนาน ๆ
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อคัดกรองโรคแอบแฝง เช่น เบาหวาน ไขมันสูง หรือโรคข้อ
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ควรรีบมาพบแพทย์ หากมีอาการดังนี้:
- อาการชาต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์
- อาการชาร่วมกับ อ่อนแรง หรือสูญเสียการควบคุมการขับถ่าย
- มีอาการปวดหลัง ปวดคอ ร่วมกับชาที่ลงไปแขนหรือขา
- ชาเฉพาะด้านเดียวของร่างกาย ร่วมกับปากเบี้ยว พูดไม่ชัด → อาจเป็น โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
อาการชาที่ปลายประสาท อาจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสมอไป บางครั้งเป็นเพียงการกดทับชั่วคราว แต่หากเกิดบ่อยครั้งหรือเรื้อรัง อาจบ่งบอกถึงโรคที่สำคัญ เช่น เบาหวาน หมอนรองกระดูกทับเส้น หรือโรคข้อและกระดูก การสังเกตสัญญาณเตือนตั้งแต่ระยะแรก และการพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้อง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในอนาคต
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์