fbpx

ปวดสะบักไม่หายสักที อาการปวดที่ควรระวัง

อาการ “ปวดสะบัก” เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ ยกของหนัก หรือใช้ท่าทางซ้ำ ๆ จนกล้ามเนื้อตึงตัว แต่หากอาการปวดสะบักเรื้อรังนานเกิน 1–2 สัปดาห์ หรือปวดมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือลามไปถึงหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งควรได้รับการตรวจประเมินอย่างถูกต้องจากแพทย์
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า “ปวดสะบักแบบไหนที่อันตราย” และควรรีบไปพบแพทย์เมื่อใด

สาเหตุและประเภทของอาการปวดสะบัก

1. ปวดสะบักจากกล้ามเนื้อตึงหรือใช้งานหนักเกินไป

เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจาก
  • นั่งทำงานหลังค่อม
  • อยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • ยกของหนัก
  • ออกกำลังกายผิดท่า
กล้ามเนื้อบริเวณสะบัก เช่น กล้ามเนื้อ Levator Scapulae, Trapezius, หรือ Rhomboids มักเกิดการหดเกร็งจนกลายเป็นก้อนลำ ๆ ที่กดแล้วเจ็บ ซึ่งเรียกว่า “จุดกดเจ็บ (Trigger Point)”

2. ปวดสะบักจากเส้นประสาทถูกกดทับ

โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหา
  • หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม
  • กระดูกสันหลังคอตีบ
  • หมอนรองกระดูกคอปลิ้น
  • ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่ใช่แค่ปวดสะบัก แต่ยังมีอาการร่วม เช่น ปวดร้าวลงแขน ชา ปลายมืออ่อนแรง

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจบ่งบอกปัญหาที่รุนแรงกว่า “แค่เมื่อย”
อาการเตือนสำคัญ (Warning Signs):
  • ปวดสะบักนานเกิน 2 สัปดาห์
  • ปวดรุนแรงจนรบกวนการนอน
  • ปวดร้าวขึ้นคอหรือร้าวลงแขน
  • มีอาการชา หรือแขนอ่อนแรงร่วมด้วย
  • ยกแขนไม่ขึ้น หรือมีเสียง “ลั่น” ในหัวไหล่
  • มีอาการปวดเมื่อหันคอหรือเงยหน้า
  • อาการปวดเกิดขึ้นซ้ำ ๆ บ่อยจนเป็นเรื้อรัง
  • ไหล่มีลักษณะผิดรูป หรือบวมแดงร่วมด้วย
อาการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาหมอนรองกระดูกอักเสบ การกดทับเส้นประสาท หรือเอ็นรอบหัวไหล่ฉีกขาด

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

เมื่อเข้าพบแพทย์ แพทย์จะตรวจอย่างละเอียดโดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:
  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย: ดูลักษณะการปวด ตำแหน่งที่กดเจ็บ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • เอกซเรย์คอหรือไหล่: ตรวจความผิดปกติของกระดูก
  • อัลตราซาวด์ไหล่: ตรวจเส้นเอ็นหัวไหล่ เช่น เอ็นไหล่ฉีก เอ็นอักเสบ
  • MRI: ใช้กรณีสงสัยหมอนรองกระดูกสันหลังคอปลิ้นหรือเส้นประสาทถูกกดทับ
  • การประเมินท่าทาง (Posture Analysis): ตรวจว่าท่านั่งทำงานทำให้ปวดสะบักหรือไม่
  • การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้เลือกการรักษาได้ตรงจุดและหายเร็วขึ้นมาก

แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี

4.1 การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

1. การใช้ยา
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ
  • ยาลดการอักเสบ
  • ยาบรรเทาอาการปวดเฉพาะจุด
2. กายภาพบำบัด
เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น
  • การยืดเหยียดเฉพาะจุด
  • อัลตราซาวด์ลดปวด
  • คลื่นกระแทก (Shockwave)
  • การฝังเข็มทางการแพทย์
  • การจัดท่ากายภาพเพื่อแก้ Posture
3. ฉีดยารักษาเฉพาะที่
สำหรับผู้ที่มีจุดกดเจ็บเรื้อรังหรือเอ็นอักเสบเฉพาะจุด เช่น
  • ฉีดยาลดอักเสบ
  • ฉีดคลายจุด Trigger Point
4. แนะนำการปรับพฤติกรรม
  • ปรับท่านั่งทำงาน
  • ใช้หมอนรองหลัง
  • เปลี่ยนเก้าอี้ให้เหมาะกับสรีระ
  • พักทุก 45–60 นาทีเพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ

4.2 การรักษาแบบผ่าตัด (กรณีจำเป็น)

โดยเฉพาะหากปวดสะบักเกิดจากหมอนรองกระดูกคอปลิ้นหรือกดทับเส้นประสาทรุนแรง และอาการไม่ดีขึ้นหลังรักษาแบบปกติ
  • ผ่าตัดเอาส่วนของหมอนรองกระดูกที่กดทับออก
  • ผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง
  • การผ่าตัดจะพิจารณาอย่างระมัดระวังเฉพาะผู้ที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนเท่านั้น

การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

วิธีป้องกันอาการปวดสะบักแบบง่าย ๆ
  • เปลี่ยนท่านั่งทุก 45 นาที
  • นั่งหลังตรง ไม่ไหล่ห่อ
  • ปรับโต๊ะและเก้าอี้ให้ระดับสายตาเหมาะสม
  • ยืดกล้ามเนื้อสะบักและคอวันละ 5–10 นาที
  • ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อหลังส่วนบน
  • หลีกเลี่ยงยกของหนักผิดท่า
  • นอนหมอนที่ไม่สูงหรือเตี้ยเกินไป
  • การดูแลตัวเองสม่ำเสมอสามารถป้องกันอาการเรื้อรังและลดภาวะแทรกซ้อนได้

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?

ควรรีบพบแพทย์หากพบว่า:
  • อาการปวดนานเกิน 2 สัปดาห์
  • ปวดร้าวลงแขนหรือมีอาการชา
  • ไหล่ขยับลำบากหรือยกแขนไม่ขึ้น
  • ชาปลายมือ อ่อนแรง จับของหลุดมือ
  • ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ตอบสนองต่อยา
  • มีอาการหลังอุบัติเหตุ เช่น ล้ม หรือกระแทกแรง
  • อาการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทหรือหมอนรองกระดูก ซึ่งการรักษาเร็วจะช่วยลดภาวะเรื้อรังได้มาก
อาการปวดสะบักอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่กล้ามเนื้อเกร็งทั่วไปจนถึงภาวะเส้นประสาทถูกกดทับหรือหมอนรองกระดูกผิดปกติ หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามจนปวดเรื้อรังหรือไหล่ติด การสังเกตอาการเตือนและการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *