fbpx

กล้ามเนื้อฉีก ฉีกได้อย่างไร อันตรายไหม

🩺 กล้ามเนื้อฉีก ฉีกได้อย่างไร อันตรายไหม

 
 
“กล้ามเนื้อฉีก” หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “กล้ามเนื้อขาด” เป็นอาการบาดเจ็บที่พบได้บ่อย ทั้งในนักกีฬา ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ หรือแม้แต่คนทั่วไปที่ใช้แรงมากกว่าปกติ เช่น ยกของหนัก วิ่งกระชั้นชิด หรือเหยียบพลาดจังหวะ
 
หลายคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่ตึงหรือเจ็บนิดหน่อย แต่ในความเป็นจริง กล้ามเนื้อฉีกอาจรุนแรงจนกระทบต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน หรือกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี
 
บทความนี้ “คลินิกหมอสุทธิ์” จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า กล้ามเนื้อฉีกเกิดจากอะไร อาการแบบไหนควรระวัง และเมื่อไหร่ที่ต้องรีบพบแพทย์
 
 

สาเหตุและประเภทของกล้ามเนื้อฉีก

สาเหตุหลักของกล้ามเนื้อฉีก

กล้ามเนื้อฉีกเกิดจาก “แรงดึงหรือแรงกระแทก” ที่เกินขีดความทนของเส้นใยกล้ามเนื้อ ทำให้เนื้อเยื่อภายในเกิดการฉีกขาด ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น
    • การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเกินกำลัง เช่น วิ่งเร็วเกินไป ยกน้ำหนักมากเกิน หรือเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว
    • การวอร์มอัพไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อยังไม่พร้อมรับแรง
    • การใช้งานซ้ำๆ ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในคนที่ทำงานยกของหนัก หรือใช้กล้ามเนื้อกลุ่มเดิมบ่อย
    • อุบัติเหตุหรือการหกล้ม ที่มีแรงกระแทกโดยตรงต่อกล้ามเนื้อ
    • ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากขาดการออกกำลังกาย หรืออายุที่มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อเปราะบาง
 

ระดับความรุนแรงของกล้ามเนื้อฉีก

แพทย์จะแบ่งกล้ามเนื้อฉีกออกเป็น 3 ระดับ เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
 
ระดับที่ 1 (Mild strain)
  • เป็นการฉีกขาดเพียงเล็กน้อยของเส้นใยกล้ามเนื้อ
  • อาการ : ปวด ตึง หรือเกร็งเฉพาะจุด ยังสามารถขยับหรือใช้งานได้เกือบปกติ
 
ระดับที่ 2 (Moderate strain)
  • เส้นใยกล้ามเนื้อฉีกขาดมากขึ้น มีเลือดออกภายในหรือบวมร่วมด้วย
  • อาการ: ปวดมาก เคลื่อนไหวลำบาก อาจเห็นรอยช้ำ
ระดับที่ 3 (Severe strain)
  • กล้ามเนื้อฉีกขาดทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
  • อาการ: ปวดรุนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ มีรอยช้ำชัดและอาจคลำได้เป็นก้อนหรือร่องกล้ามเนื้อ
 

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

หากคุณมีอาการเหล่านี้หลังออกแรงหรือออกกำลังกาย ควรระวังว่าอาจเป็น ภาวะกล้ามเนื้อฉีก
  • รู้สึก “ปวดแปล๊บ” หรือเหมือนถูก “สะกิดแรงๆ” ขณะเคลื่อนไหว
  • ปวดเฉพาะจุดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อขา ต้นขา หลัง หรือแขน
  • กล้ามเนื้อตึง แข็ง หรือบวมขึ้น
  • มีรอยช้ำหรือเลือดคั่งใต้ผิวหนัง
  • เคลื่อนไหวหรือออกแรงแล้วเจ็บเพิ่มขึ้น
  • ในรายรุนแรง อาจรู้สึกว่ากล้ามเนื้อขาดหรือเกิด “ร่อง” เมื่อคลำบริเวณนั้น
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน หรือปวดมากจนเคลื่อนไหวไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและกล้ามเนื้อโดยเร็ว
 
 

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียด เช่น ช่วงเวลาที่เกิดอาการ ลักษณะกิจกรรมที่ทำ และบริเวณที่เจ็บ จากนั้นจะตรวจร่างกายโดยการคลำกล้ามเนื้อ ตรวจการเคลื่อนไหว และทดสอบแรงต้าน
 
ในบางกรณี อาจต้องใช้ การตรวจเพิ่มเติม เพื่อประเมินความรุนแรงของการฉีกขาด เช่น
 
  • อัลตราซาวนด์ (Ultrasound): ช่วยดูรอยฉีกของเส้นใยกล้ามเนื้อแบบเรียลไทม์
  • MRI (Magnetic Resonance Imaging): ใช้ในกรณีต้องการเห็นรายละเอียดของกล้ามเนื้อและเอ็นอย่างชัดเจน
 

 แนวทางการรักษา — ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยกล้ามเนื้อฉีกจะสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยแนวทางหลักคือ
  • พักการใช้งาน (Rest): หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เจ็บ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัว
  • ประคบเย็น (Ice): ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ควรประคบเย็นวันละ 3–4 ครั้ง ครั้งละ 15–20 นาที
  • พันผ้ายืด (Compression): เพื่อลดบวมและพยุงกล้ามเนื้อ
  • ยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูง (Elevation): ช่วยลดการคั่งของเลือด
  • ใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบ (NSAIDs): ตามคำแนะนำของแพทย์
  • กายภาพบำบัด: หลังอาการเฉียบพลันเริ่มทุเลา การทำกายภาพจะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

 การรักษาแบบผ่าตัด

ในกรณีที่กล้ามเนื้อฉีกขาดรุนแรง (ระดับ 3) หรือมีการฉีกขาดทั้งหมด แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเย็บซ่อมเส้นใยกล้ามเนื้อ เพื่อให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
 

 การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
  • วอร์มอัพก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 10 นาที
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching) หลังการออกกำลังกายทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการฝึกหนักเกินกำลัง เพิ่มความเข้มข้นของการฝึกทีละน้อย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะตะคริวหรือกล้ามเนื้อตึง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะกล้ามเนื้อจะซ่อมแซมตัวเองในช่วงพัก
  • ตรวจสุขภาพกล้ามเนื้อและข้อต่อเป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเล่นกีฬาบ่อย
 

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินอาการอย่างละเอียด
  • ปวดรุนแรงจนขยับไม่ได้
  • มีรอยช้ำหรือบวมมาก
  • รู้สึกว่ากล้ามเนื้อ “ขาด” หรือเกิดร่องชัดเจน
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 3–5 วัน
  • มีอาการร่วมอื่น เช่น ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือขยับนิ้ว/ขาไม่ได้
 
แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและกล้ามเนื้อจะสามารถประเมินระดับความรุนแรงได้อย่างแม่นยำ และให้การรักษาที่เหมาะสม ป้องกันการเกิดพังผืดหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงในระยะยาว
 
 
กล้ามเนื้อฉีกเป็นอาการที่ “ไม่ควรมองข้าม” เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจกลายเป็นการบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิต การดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น การพัก การประคบเย็น และการทำกายภาพบำบัดภายใต้คำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้ฟื้นตัวได้รวดเร็วและปลอดภัย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *