fbpx

MRI คือ อะไร ? MRI กับ CT Scan ต่างกันอย่างไร ตรวจอะไรได้บ้าง

เมื่อแพทย์แนะนำให้ตรวจ MRI หลายคนอาจเกิดคำถามว่า “MRI คืออะไร? จำเป็นแค่ไหน? และแตกต่างจาก CT Scan อย่างไร?” การทำความเข้าใจเทคโนโลยีการถ่ายภาพทางการแพทย์เหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ บทความนี้จะอธิบายอย่างครบถ้วน ตั้งแต่ความหมาย วิธีทำงาน ความแตกต่างของ MRI และ CT Scan รวมถึงตัวอย่างโรคหรือปัญหาสุขภาพที่ตรวจพบได้
 

สาเหตุและประเภทของ MRI

MRI คืออะไร
MRI (Magnetic Resonance Imaging) คือการตรวจวินิจฉัยด้วยสนามแม่เหล็กกำลังสูงและคลื่นวิทยุ โดยไม่ใช้รังสีเอกซเรย์ เครื่อง MRI จะสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงของอวัยวะ เนื้อเยื่อ และระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำ
 

หลักการทำงาน

  • ใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงเรียงตัวโมเลกุลน้ำในร่างกาย
  • ส่งคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นโมเลกุลน้ำ
  • รับสัญญาณที่ปล่อยออกมาและประมวลผลเป็นภาพ 2 มิติ หรือ 3 มิติ
 

อาการและสัญญาณเตือนที่ควรเข้ารับการตรวจ MRI

แม้ MRI จะไม่ได้ใช้เป็นการตรวจสุขภาพทั่วไป แต่แพทย์มักแนะนำให้ทำเมื่อมีอาการหรือความผิดปกติ เช่น
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือปวดศีรษะร่วมกับอาการทางระบบประสาท
  • อาการชา อ่อนแรง หรือสูญเสียการทรงตัว
  • ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อที่หาสาเหตุไม่ได้
  • อาการบาดเจ็บจากกีฬา เช่น เส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนฉีกขาด
  • สงสัยโรคเกี่ยวกับสมอง ไขสันหลัง หัวใจ ตับ ไต หรือมะเร็ง
 

MRI กับ CT Scan ต่างกันอย่างไร

แม้ MRI และ CT Scan จะเป็นการตรวจด้วยภาพ แต่มีความแตกต่างสำคัญ ดังนี้
 
หัวข้อเปรียบเทียบ MRI CT Scan
  • เทคโนโลยี สนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุ รังสีเอกซเรย์และคอมพิวเตอร์
  • การใช้รังสี ❌ ไม่มีรังสี ✅ มีรังสี
  • รายละเอียดภาพ เหมาะกับเนื้อเยื่ออ่อน เช่น สมอง เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ เหมาะกับการดูโครงสร้างกระดูก ปอด เส้นเลือด
  • เวลาในการตรวจ 20-60 นาที 5-15 นาที
  • ความรู้สึกขณะตรวจ นอนในเครื่อง เสียงดัง ต้องอยู่นิ่ง นอนบนเตียงสแกน สะดวกและรวดเร็ว
 
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้นด้วย MRI
MRI สามารถตรวจพบและช่วยวินิจฉัยโรคหรือความผิดปกติได้หลายระบบ เช่น
  • ระบบประสาท: เนื้องอกสมอง เส้นประสาทถูกกดทับ โรคหลอดเลือดสมอง
  • ระบบกระดูกและข้อ: เส้นเอ็นฉีก กระดูกอ่อนเสียหาย โรคข้อเสื่อม
  • หัวใจและหลอดเลือด: โครงสร้างหัวใจ ผนังหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
  • ช่องท้องและเชิงกราน: โรคตับ ไต มะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ
  • ระบบกล้ามเนื้อ: การฉีกขาดหรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
 
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
MRI เป็นเพียงเครื่องมือวินิจฉัย แพทย์จะนำผลมาประกอบกับการซักประวัติและตรวจร่างกาย เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  • การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
  • การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ
  • กายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟู
  • การปรับพฤติกรรม เช่น การพักผ่อนและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
 

การรักษาแบบผ่าตัด

ใช้ในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติรุนแรง เช่น เนื้องอก หรือการบาดเจ็บที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น
 

การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

แม้ไม่สามารถป้องกันทุกโรคได้ แต่การดูแลสุขภาพสามารถลดโอกาสการต้องตรวจ MRI ได้
 
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการทำงานหรือกีฬา
  • ตรวจสุขภาพประจำปี
 

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ชา อ่อนแรง พูดไม่ชัด
  • ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อเรื้อรัง
  • สงสัยมีก้อนหรือเนื้องอก
  • อาการไม่ดีขึ้นหลังการรักษาเบื้องต้น
 
 
MRI เป็นเทคโนโลยีการวินิจฉัยที่ปลอดภัย ไม่มีรังสี และให้ภาพที่ละเอียดมาก เหมาะกับการตรวจเนื้อเยื่ออ่อนและอวัยวะภายในที่ซับซ้อน การเลือกใช้ MRI หรือ CT Scan ขึ้นอยู่กับอาการและดุลยพินิจของแพทย์
 

ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”

โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *