“เจ็บเอ็นรอยหวาย” หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า เอ็นร้อยหวายอักเสบ เป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนที่ออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปที่ใช้งานข้อเท้าอย่างหนัก หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เดี๋ยวก็หายเอง แต่ความจริงคือ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังหรือถึงขั้นเอ็นขาดได้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่สาเหตุ อาการ สัญญาณเตือน ไปจนถึงวิธีรักษาและการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี
สาเหตุและประเภทของอาการเจ็บเอ็นรอยหวาย
1. การใช้งานเอ็นร้อยหวายมากเกินไป
- วิ่ง กระโดด หรือเล่นกีฬาที่มีการใช้แรงกระแทกซ้ำ ๆ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล
- ออกกำลังกายหนักโดยไม่ได้วอร์มอัพ
2. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
- ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับรูปเท้าหรือกิจกรรม
- กล้ามเนื้อน่องตึง หรือมีความผิดปกติของรูปเท้า (เช่น เท้าแบน)
- อายุที่มากขึ้น ทำให้เอ็นสูญเสียความยืดหยุ่น
- โรคบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือการใช้ยาบางชนิดที่กระทบต่อเอ็น
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรระวังว่าอาจเป็นปัญหาเอ็นรอยหวายอักเสบหรือบาดเจ็บ
- ปวดหรือเจ็บแถว ๆ ส้นเท้า ด้านหลังขา
- เจ็บมากเวลาเดิน วิ่ง หรือกระโดด
- มีอาการบวม ร้อน กดเจ็บตรงเอ็น
- ข้อเท้าตึง ขยับลำบากโดยเฉพาะหลังตื่นนอน
- มีเสียง “ป๊อก” และเจ็บรุนแรงทันที (อาจเป็นสัญญาณเอ็นร้อยหวายขาด)
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจใช้วิธีดังนี้
- ตรวจร่างกาย: กดและขยับข้อเท้าเพื่อดูอาการเจ็บ
- อัลตราซาวด์/ MRI: ตรวจดูสภาพเอ็นว่ามีการอักเสบหรือฉีกขาด
- X-ray: เพื่อตรวจว่ามีภาวะกระดูกส้นเท้าเสื่อมหรือไม่
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- พักการใช้งาน (Rest): ลดกิจกรรมที่ทำให้เจ็บ เช่น การวิ่งหรือกระโดด
- ประคบเย็น (Ice): ช่วยลดบวมและอักเสบ
- กายภาพบำบัด: ฝึกยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวาย
- การใส่อุปกรณ์พยุง: เช่น แผ่นรองส้นเท้า (Heel pad)
- ยาแก้อักเสบ: ใช้ตามแพทย์สั่งเพื่อลดอาการปวดและบวม
การรักษาแบบผ่าตัด
ใช้เมื่อการรักษาแบบอนุรักษ์ไม่ได้ผล หรือในกรณีที่ เอ็นรอยหวายขาด
- ผ่าตัดซ่อมแซมหรือเย็บเอ็น
- ฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัดหลังผ่าตัด
- การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
เพื่อป้องกันไม่ให้อาการเจ็บเอ็นรอยหวายกลับมาอีก ควรปฏิบัติดังนี้
- วอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อก่อนและหลังออกกำลังกาย
- เลือกรองเท้าที่พอดีกับเท้าและเหมาะกับกิจกรรม
- หลีกเลี่ยงการเพิ่มความหนักของการออกกำลังกายอย่างกะทันหัน
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดแรงกดที่ส้นเท้าและเอ็น
- หากเริ่มมีอาการเจ็บเล็กน้อย ให้พักทันที อย่าฝืนเล่นต่อ
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
คุณควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้
- เจ็บเอ็นรอยหวายเรื้อรังเกิน 1–2 สัปดาห์ ไม่ทุเลาลง
- ปวดบวมจนเดินลำบาก
- ได้ยินเสียง “ป๊อก” ร่วมกับเจ็บรุนแรงและเดินไม่ได้ (สงสัยเอ็นขาด)
- อาการปวดซ้ำ ๆ แม้พักหรือปรับพฤติกรรมแล้ว
เจ็บที่เอ็นรอยหวายไม่หายสักที อาจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะเป็นสัญญาณบาดเจ็บที่ต้องการการดูแลรักษาที่ถูกวิธี หากละเลยอาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังหรือถึงขั้นเอ็นขาดได้ การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์