🩺 กล้ามเนื้อฉีก ฉีกได้อย่างไร อันตรายไหม
“กล้ามเนื้อฉีก” หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “กล้ามเนื้อขาด” เป็นอาการบาดเจ็บที่พบได้บ่อย ทั้งในนักกีฬา ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ หรือแม้แต่คนทั่วไปที่ใช้แรงมากกว่าปกติ เช่น ยกของหนัก วิ่งกระชั้นชิด หรือเหยียบพลาดจังหวะ
หลายคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่ตึงหรือเจ็บนิดหน่อย แต่ในความเป็นจริง กล้ามเนื้อฉีกอาจรุนแรงจนกระทบต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน หรือกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี
บทความนี้ “คลินิกหมอสุทธิ์” จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า กล้ามเนื้อฉีกเกิดจากอะไร อาการแบบไหนควรระวัง และเมื่อไหร่ที่ต้องรีบพบแพทย์
สาเหตุและประเภทของกล้ามเนื้อฉีก
สาเหตุหลักของกล้ามเนื้อฉีก
กล้ามเนื้อฉีกเกิดจาก “แรงดึงหรือแรงกระแทก” ที่เกินขีดความทนของเส้นใยกล้ามเนื้อ ทำให้เนื้อเยื่อภายในเกิดการฉีกขาด ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น
-
- การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเกินกำลัง เช่น วิ่งเร็วเกินไป ยกน้ำหนักมากเกิน หรือเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว
- การวอร์มอัพไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อยังไม่พร้อมรับแรง
- การใช้งานซ้ำๆ ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในคนที่ทำงานยกของหนัก หรือใช้กล้ามเนื้อกลุ่มเดิมบ่อย
- อุบัติเหตุหรือการหกล้ม ที่มีแรงกระแทกโดยตรงต่อกล้ามเนื้อ
- ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากขาดการออกกำลังกาย หรืออายุที่มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อเปราะบาง
ระดับความรุนแรงของกล้ามเนื้อฉีก
แพทย์จะแบ่งกล้ามเนื้อฉีกออกเป็น 3 ระดับ เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
ระดับที่ 1 (Mild strain)
- เป็นการฉีกขาดเพียงเล็กน้อยของเส้นใยกล้ามเนื้อ
- อาการ : ปวด ตึง หรือเกร็งเฉพาะจุด ยังสามารถขยับหรือใช้งานได้เกือบปกติ
ระดับที่ 2 (Moderate strain)
- เส้นใยกล้ามเนื้อฉีกขาดมากขึ้น มีเลือดออกภายในหรือบวมร่วมด้วย
- อาการ: ปวดมาก เคลื่อนไหวลำบาก อาจเห็นรอยช้ำ
ระดับที่ 3 (Severe strain)
- กล้ามเนื้อฉีกขาดทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
- อาการ: ปวดรุนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ มีรอยช้ำชัดและอาจคลำได้เป็นก้อนหรือร่องกล้ามเนื้อ
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
หากคุณมีอาการเหล่านี้หลังออกแรงหรือออกกำลังกาย ควรระวังว่าอาจเป็น ภาวะกล้ามเนื้อฉีก
- รู้สึก “ปวดแปล๊บ” หรือเหมือนถูก “สะกิดแรงๆ” ขณะเคลื่อนไหว
- ปวดเฉพาะจุดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อขา ต้นขา หลัง หรือแขน
- กล้ามเนื้อตึง แข็ง หรือบวมขึ้น
- มีรอยช้ำหรือเลือดคั่งใต้ผิวหนัง
- เคลื่อนไหวหรือออกแรงแล้วเจ็บเพิ่มขึ้น
- ในรายรุนแรง อาจรู้สึกว่ากล้ามเนื้อขาดหรือเกิด “ร่อง” เมื่อคลำบริเวณนั้น
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน หรือปวดมากจนเคลื่อนไหวไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและกล้ามเนื้อโดยเร็ว
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียด เช่น ช่วงเวลาที่เกิดอาการ ลักษณะกิจกรรมที่ทำ และบริเวณที่เจ็บ จากนั้นจะตรวจร่างกายโดยการคลำกล้ามเนื้อ ตรวจการเคลื่อนไหว และทดสอบแรงต้าน
ในบางกรณี อาจต้องใช้ การตรวจเพิ่มเติม เพื่อประเมินความรุนแรงของการฉีกขาด เช่น
- อัลตราซาวนด์ (Ultrasound): ช่วยดูรอยฉีกของเส้นใยกล้ามเนื้อแบบเรียลไทม์
- MRI (Magnetic Resonance Imaging): ใช้ในกรณีต้องการเห็นรายละเอียดของกล้ามเนื้อและเอ็นอย่างชัดเจน
แนวทางการรักษา — ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยกล้ามเนื้อฉีกจะสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยแนวทางหลักคือ
- พักการใช้งาน (Rest): หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เจ็บ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัว
- ประคบเย็น (Ice): ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ควรประคบเย็นวันละ 3–4 ครั้ง ครั้งละ 15–20 นาที
- พันผ้ายืด (Compression): เพื่อลดบวมและพยุงกล้ามเนื้อ
- ยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูง (Elevation): ช่วยลดการคั่งของเลือด
- ใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบ (NSAIDs): ตามคำแนะนำของแพทย์
- กายภาพบำบัด: หลังอาการเฉียบพลันเริ่มทุเลา การทำกายภาพจะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
การรักษาแบบผ่าตัด
ในกรณีที่กล้ามเนื้อฉีกขาดรุนแรง (ระดับ 3) หรือมีการฉีกขาดทั้งหมด แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเย็บซ่อมเส้นใยกล้ามเนื้อ เพื่อให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
- วอร์มอัพก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 10 นาที
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching) หลังการออกกำลังกายทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการฝึกหนักเกินกำลัง เพิ่มความเข้มข้นของการฝึกทีละน้อย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะตะคริวหรือกล้ามเนื้อตึง
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะกล้ามเนื้อจะซ่อมแซมตัวเองในช่วงพัก
- ตรวจสุขภาพกล้ามเนื้อและข้อต่อเป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเล่นกีฬาบ่อย
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินอาการอย่างละเอียด
- ปวดรุนแรงจนขยับไม่ได้
- มีรอยช้ำหรือบวมมาก
- รู้สึกว่ากล้ามเนื้อ “ขาด” หรือเกิดร่องชัดเจน
- อาการไม่ดีขึ้นภายใน 3–5 วัน
- มีอาการร่วมอื่น เช่น ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือขยับนิ้ว/ขาไม่ได้
แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและกล้ามเนื้อจะสามารถประเมินระดับความรุนแรงได้อย่างแม่นยำ และให้การรักษาที่เหมาะสม ป้องกันการเกิดพังผืดหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงในระยะยาว
กล้ามเนื้อฉีกเป็นอาการที่ “ไม่ควรมองข้าม” เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจกลายเป็นการบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิต การดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น การพัก การประคบเย็น และการทำกายภาพบำบัดภายใต้คำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้ฟื้นตัวได้รวดเร็วและปลอดภัย

