อาการ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” เป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการปวดหลัง ปวดร้าวลงขา หรือชาที่ขาพบได้บ่อยในวัยทำงานและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานนาน ยกของหนัก หรือมีพฤติกรรมที่กดทับกระดูกสันหลังซ้ำๆ หากละเลย ไม่รักษาแต่เนิ่นๆ อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงจนถึงขั้นอ่อนแรงหรือเดินไม่ได้
ในบทความนี้ คลินิกหมอสุทธิ์จะพาคุณมาทำความเข้าใจ “ระดับของอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงระยะรุนแรง รวมถึงแนวทางการรักษาและการดูแลตนเอง เพื่อให้คุณสามารถรับมือได้อย่างถูกวิธีตั้งแต่สัญญาณแรก
🦴 สาเหตุและประเภทของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
หมอนรองกระดูก (Intervertebral Disc) เป็นแผ่นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ ทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกและช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่น
เมื่อหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือเคลื่อนตัวไปกดทับเส้นประสาท จะเกิดภาวะที่เรียกว่า “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” (Herniated Disc / Slipped Disc) ซึ่งแบ่งได้เป็นหลายระดับตามความรุนแรง
🔹 สาเหตุหลักที่ทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อน
- การนั่งหรือยืนนานในท่าที่ผิด เช่น หลังงอ นั่งไขว่ห้าง
- ยกของหนักโดยไม่ใช้กล้ามเนื้อขาช่วย
- ภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมตามอายุ
- การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาที่ใช้แรงกระแทกสูง
- ภาวะอ้วน ทำให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากเกินไป
🔹 ตำแหน่งที่พบบ่อย
- กระดูกสันหลังส่วนเอว (L4-L5, L5-S1): พบมากที่สุด ทำให้ปวดหลังร้าวลงขา
- กระดูกสันหลังส่วนคอ (C5-C6, C6-C7): ทำให้ปวดต้นคอ ร้าวลงแขน
⚠️ ระดับอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่คุณควรรู้
การแยก “ระดับของอาการ” ช่วยให้เข้าใจว่าโรคอยู่ในระยะใด และควรรีบพบแพทย์เมื่อไหร่
🩹 ระดับที่ 1: หมอนรองกระดูกเริ่มเสื่อม (Degeneration Stage)
- หมอนรองกระดูกเริ่มสูญเสียน้ำ ทำให้ยืดหยุ่นลดลง
- ยังไม่กดทับเส้นประสาท
อาการ: ปวดเมื่อยหลังเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อนั่งนานหรือยกของ
แนวทางดูแล: ปรับท่านั่ง ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อหลัง และยืดกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ
⚡ ระดับที่ 2: หมอนรองกระดูกนูน (Protrusion Stage)
- หมอนรองกระดูกเริ่มนูนออกจากตำแหน่งเดิมแต่ยังไม่ฉีกขาด
อาการ : ปวดหลังร้าวลงขาเล็กน้อยหรือเป็นๆ หายๆ
แนวทางดูแล : พบแพทย์เพื่อตรวจ MRI หากเริ่มมีอาการชา หรือปวดร้าวบ่อย
🔥 ระดับที่ 3: หมอนรองกระดูกแตก (Extrusion Stage)
- เนื้อในของหมอนรองกระดูกทะลุออกมากดเส้นประสาทโดยตรง
อาการ : ปวดหลังร้าวลงขาชัดเจน มีอาการชา หรือกล้ามเนื้อขาเริ่มอ่อนแรงแนวทางดูแล : ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อเพื่อวางแผนการรักษา เช่น กายภาพบำบัดหรือฉีดยาเฉพาะจุด
🚨 ระดับที่ 4: หมอนรองกระดูกหลุดออกมาทั้งหมด (Sequestration Stage)
- ส่วนที่แตกของหมอนรองกระดูกหลุดออกมากดทับเส้นประสาทรุนแรง
อาการ: ปวดร้าวมากจนเดินหรือยืนนานไม่ได้, มีอาการชาอ่อนแรง, ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้
แนวทางดูแล: จำเป็นต้องตรวจ MRI อย่างละเอียด และอาจต้องพิจารณาผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
🧠 การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น
- X-ray: เพื่อดูแนวกระดูกและสภาพโดยรวม
- MRI (Magnetic Resonance Imaging): ใช้ยืนยันตำแหน่งและระดับของการกดทับเส้นประสาทอย่างแม่นยำ
- การตรวจเส้นประสาท (Nerve Conduction Study): ในกรณีต้องการดูความเสียหายของเส้นประสาทโดยละเอียด
💊 แนวทางการรักษา — ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่อยู่ในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง
- การใช้ยา: เช่น ยาแก้ปวด ลดการอักเสบ
- กายภาพบำบัด: เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การใช้เครื่องดึงหลัง หรืออัลตราซาวด์บำบัด
- ฉีดยาเฉพาะจุด (Epidural Steroid Injection): ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดในผู้ที่มีอาการมาก
- ปรับพฤติกรรม: เลี่ยงการนั่งนาน ยกของหนัก หรือก้มบ่อย
การรักษาแบบผ่าตัด
- ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีทั่วไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอ่อนแรงมาก
- Microdiscectomy: ผ่าตัดเล็กเพื่อเอาส่วนของหมอนรองกระดูกที่กดเส้นประสาทออก
- Endoscopic Spine Surgery: ผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
🧘♀️ การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- นั่งหลังตรง พิงพนักเก้าอี้เต็มแผ่นหลัง
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือก้มตัวกะทันหัน
- ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core muscle) อย่างสม่ำเสมอ เช่น โยคะ, ว่ายน้ำ, พิลาทิส
- พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียดซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อเกร็งเพิ่มความปวด
🩺 เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ควรรีบพบแพทย์ทันที หากมีอาการเหล่านี้
- ปวดหลังร้าวลงขาอย่างต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์
- มีอาการชา หรือรู้สึกอ่อนแรงบริเวณขา
- ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้
- เดินหรือยืนนานไม่ได้ ต้องนั่งหรือนอนพักตลอดเวลา
ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท แม้เริ่มจากอาการเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้อาจลุกลามจนกระทบต่อการใช้ชีวิตได้ การรู้เท่าทัน “ระดับของอาการ” จะช่วยให้คุณรับมือได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเลือกแนวทางการรักษาได้เหมาะสม