fbpx

ดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลโรคกระดูกพรุน

 
โรคกระดูกพรุน” (Osteoporosis) คือภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกเปราะและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ขาดแคลเซียม วิตามินดี หรือไม่ค่อยออกกำลังกาย โรคนี้มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนแล้ว เช่น กระดูกหักที่สะโพก ข้อมือ หรือกระดูกสันหลัง อาจส่งผลร้ายแรงต่อคุณภาพชีวิต
 
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ การตรวจวินิจฉัย วิธีรักษา และที่สำคัญคือแนวทางการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ตั้งแต่วันนี้
 

สาเหตุและประเภทของโรคกระดูกพรุน

 

สาเหตุของโรคกระดูกพรุน

  • อายุที่มากขึ้น: ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะค่อยๆ ลดลงตามวัย
  • ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง: โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • ขาดแคลเซียมและวิตามินดี: ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง
  • ไม่ออกกำลังกาย: โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีแรงกดบนกระดูก (Weight-bearing exercise)
  • พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวมีประวัติกระดูกพรุน จะเพิ่มความเสี่ยง
  • การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว
 

ประเภทของโรคกระดูกพรุน

  • โรคกระดูกพรุนปฐมภูมิ (Primary Osteoporosis)  : พบในผู้สูงอายุและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • โรคกระดูกพรุนทุติยภูมิ (Secondary Osteoporosis)  : เกิดจากโรคประจำตัว เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ โรคไตเรื้อรัง หรือการใช้ยาบางชนิด
 

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

โรคกระดูกพรุนมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะเกิดการแตกหัก แต่มีสัญญาณเตือนที่ควรระวัง ได้แก่:
  • ปวดหลังเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • หลังค่อม ไหล่ห่อ หรือส่วนสูงลดลง
  • กระดูกหักง่ายจากอุบัติเหตุเล็กน้อย เช่น ลื่นล้มเบาๆ
  • มีประวัติคนในครอบครัวกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุน
 

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เช่น:
 
  • การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density: BMD) ด้วยเครื่อง DEXA scan
  • การตรวจเลือด เพื่อดูระดับแคลเซียม วิตามินดี และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง
  • การเอ็กซเรย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของกระดูกสันหลัง
 

แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพกระดูกที่ดี

 

การรักษาแบบไม่ใช้ยา

  • รับประทานอาหารที่มี แคลเซียม และ วิตามินดี อย่างเพียงพอ
  • ออกกำลังกายที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ยกน้ำหนัก
  • ปรับพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • ป้องกันการหกล้ม เช่น ใช้รองเท้าที่เหมาะสม จัดบ้านให้ปลอดภัย
 

การรักษาแบบใช้ยา

  • ยาชะลอการสลายกระดูก (เช่น Bisphosphonates)
  • ยาที่ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่
  • ฮอร์โมนทดแทน (ในบางกรณีสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน)
  • แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามอายุ เพศ และความรุนแรงของโรค
 

การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

  • การป้องกันโรคกระดูกพรุนสามารถทำได้ตั้งแต่วันนี้ โดยปฏิบัติตามแนวทางดังนี้:
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้ งาดำ
  • รับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อนๆ วันละ 10–15 นาที
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีแรงกดบนกระดูก
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • ตรวจสุขภาพกระดูกเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้หญิงอายุเกิน 50 ปี และผู้ชายอายุเกิน 60 ปี
 

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • มีอาการปวดหลังเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ
  • ส่วนสูงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • กระดูกหักง่ายจากการหกล้มเล็กน้อย
  • มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคกระดูกพรุน
  • ต้องใช้ยาสเตียรอยด์หรือยาที่มีผลต่อกระดูกในระยะยาว
 
 
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่พบบ่อยและอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับวิตามินดีจากแสงแดด และตรวจสุขภาพกระดูกตามคำแนะนำของแพทย์

 

ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”

โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *