fbpx

ปวดบวมข้อเท้าด้านใน อันตรายไหม? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลให้หายไว

หลายคนอาจเคยประสบกับอาการ ปวดบวมข้อเท้าด้านใน แล้วคิดว่าเป็นเพียงอาการเล็กน้อยจากการเดินหรือยืนมากเกินไป แต่รู้หรือไม่ว่า อาการนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหรือการบาดเจ็บที่สำคัญกว่าที่คิด หากละเลยหรือปล่อยไว้นาน อาจนำไปสู่ปัญหารุนแรง เช่น ข้อเสื่อมหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติของข้อเท้าได้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และแนวทางรักษาที่ถูกต้อง เพื่อดูแลสุขภาพข้อเท้าของคุณให้แข็งแรงและปลอดภัยในระยะยาว
 
 

สาเหตุและประเภทของอาการปวดบวมข้อเท้าด้านใน

การบาดเจ็บของเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ
อาการปวดบวมข้อเท้าด้านในส่วนใหญ่มักเกิดจากการบาดเจ็บ เช่น การพลิกข้อเท้า ทำให้เส้นเอ็นด้านในข้อเท้าถูกยืดหรือฉีกขาด ส่งผลให้เกิดอาการปวดและบวมทันที หรือเกิดขึ้นภายหลังการใช้งานหนัก
 

โรคหรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับข้อ

อาการนี้อาจเกิดจากโรคหรือภาวะต่าง ๆ เช่น
  • โรคข้ออักเสบ (Arthritis) โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
  • โรคเก๊าท์ (Gout) ที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริก ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน
  • เสื่อมของข้อเท้า (Osteoarthritis) จากการใช้งานซ้ำหรือการเสื่อมตามอายุ
 

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

หากมีอาการต่อไปนี้ ควรระวังและไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
  • ข้อเท้าปวดและบวมชัดเจน โดยเฉพาะด้านใน
  • ปวดเวลาเดินหรือกดบริเวณข้อเท้า
  • รู้สึกข้อเท้าอ่อนแรงหรือทรงตัวลำบาก
  • มีอาการแดง ร้อน หรือรู้สึกอุ่นบริเวณที่บวม
  • มีเสียง “ป๊อก” หรือรู้สึกคล้ายข้อหลุดเวลาเคลื่อนไหว
  • ข้อเท้าผิดรูป หรือมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
 
 

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

เมื่อพบแพทย์ แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติการบาดเจ็บ การใช้งานข้อเท้า และลักษณะอาการ ก่อนตรวจร่างกายเพื่อตรวจการกดเจ็บ ความยืดหยุ่น และการเคลื่อนไหวของข้อเท้า อาจมีการสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น
 
  • การถ่ายภาพเอกซเรย์ (X-ray) เพื่อตรวจหาการแตกหัก
  • การตรวจอัลตราซาวด์หรือ MRI เพื่อประเมินเส้นเอ็นและเนื้อเยื่ออ่อน
  • การเจาะน้ำข้อ (ถ้าสงสัยโรคเก๊าท์หรือข้ออักเสบติดเชื้อ)
 
 

แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
  • การใช้ยา เช่น ยาลดปวดหรือยาแก้อักเสบ
  • การพักและการประคบเย็น ในช่วงแรกหลังบาดเจ็บ
  • การพันผ้ายืดหรือใส่อุปกรณ์พยุงข้อเท้า เพื่อลดการเคลื่อนไหว
  • กายภาพบำบัด ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว เพิ่มความแข็งแรง และปรับการทรงตัว
  • การปรับพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มแรงกดบนข้อเท้า
 
การรักษาแบบผ่าตัด (ในกรณีจำเป็น)
หากมีการฉีกขาดของเส้นเอ็นรุนแรง ข้อเคลื่อน หรือภาวะข้อหลวมเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด อาจจำเป็นต้องพิจารณาผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมหรือปรับโครงสร้างข้อเท้า
 

การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

  • หลีกเลี่ยงการเดินหรือยืนเป็นเวลานาน หากรู้สึกเจ็บข้อเท้า
  • สวมรองเท้าที่เหมาะสม รองรับอุ้งเท้าและข้อเท้าได้ดี
  • ยืดกล้ามเนื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงรอบข้อเท้าเป็นประจำ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวเพื่อลดแรงกดบนข้อเท้า
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการพลิกข้อ หรือการกระแทกแรง ๆ
 
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
หากอาการปวดบวมไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดรุนแรง เดินไม่ได้ ข้อเท้าผิดรูป หรือสงสัยการติดเชื้อ (บวม แดง ร้อน ร่วมกับไข้) ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาได้ตรงจุด
 
 
อาการ ปวดบวมข้อเท้าด้านใน อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากละเลยอาจพัฒนาเป็นภาวะเรื้อรังหรือทำให้เกิดข้อเสื่อมเร็วกว่าปกติ การรู้ทันสาเหตุ สังเกตอาการ และรับการรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตประจำวันได้เต็มที่
 
หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังมีอาการปวดบวมข้อเท้า อย่ารอให้ปัญหาลุกลาม คลินิกหมอสุทธิ์พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อ นัดหมายเพื่อปรึกษาหรือสอบถามเพิ่มเติมกับเราได้เลยวันนี้!
 
 
 
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
 
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *