เอ็นสะโพกอักเสบเกิดจากอะไร ?
เอ็นสะโพกอักเสบ คือ ลักษณะปวดหลังปวดสะโพกร้าวลงไปขาไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคกระดูกทับเส้นเสมอไป อาจจะเกิดจากการที่เราต้องมีการใช้งานช่วงข้อต่อและกล้ามเนื้อสะโพกมากเป็นพิเศษทำเกิดอาการผิดปกติของข้อเชิงกรานตรงตำแหน่งสะโพก และถ้าหากไม่วินิจฉัยให้แน่นอนอาจจะทำให้การรักษาผิดจุดจะทำเกิดอาการเรื้อรังที่สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำการผ่าตัดแล้วยังไม่หายปวด ดังที่กว่ามาแล้วการค้นหาจุดปวดที่ถูกต้องโดยแพทย์เฉพาะทางและทำการรักษาให้ถูกโรคถูกทางคือสิ่งที่จะช่วยให้การเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตกลับมาดีอีกครั้ง
ทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัยมีความเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นสะโพกอักเสบได้ คือกลุ่มที่ต้องขับรถเป็นเวลานานติดต่อกันไม่ได้พักหรือเปลี่ยนกิริยาท่าทาง หญิงที่คลอดบุตร สำหรับใครที่กำลังกังวลว่าจะเป็นโรคเอ็นสะโพกอักเสบหรือไม่? หรือคนที่กำลังเป็นโรคเอ็นสะโพกอักเสบอยู่แต่ยังไม่ทราบวิธีการดูแลรักษาอาการเบื้องต้น ว่าทำอย่างไหร่หากมีอาการดังกล่าว เราจะมาทำความรู้จักเรื่องเอ็นสะโพกอักเสบ ลักษณะอาการ วิธีการป้องกัน และวิธีการรักษาดูแลเบื้องต้นที่สามารถทำได้เองที่บ้านในบทความนี้
สาเหตุการเกิดเอ็นสะโพกอักเสบ
สาเหตุของการเกิดอาการเอ็นสะโพกอักเสบ เกิดจากการบาดเจ็บ, การที่ก้นกระแทกพื้นรุ่นแรง ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบดังต่อไปนี้
-
- การประสบอุบัติเหตุตรงบริเวณสะโพก เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือล้มก้นกระแทก ก็สามารถทำให้เกิดการอักเสบขึ้นได้เช่นกัน
- เกิดการฉีกขาดของกระดูกอ่อนที่ของข้อต่อสะโพก จะทำให้เกิดการปวดสะโพก เพราะมาจากการที่ใช้งานกล้ามเนื้อตรงข้อต่อสะโพกมากเกินไปจนทำให้เกิดการฉีกขาดของกระดูกอ่อน
- การเคลื่อนไหวร่างกายส่วนล่างอย่างฉับพลันและผิดท่า
- การวิ่งออกกำลังกายเป็นระทางที่ไกล หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ขาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะของอาการเอ็นสะโพกอักเสบ
อาการของเอ็นสะโพกอักเสบเราจะรู้สึกปวดและชาตรงบริเวณก้นร้าวไปยังขาทั้ง 2 โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกายส่วนล่างหรือใช้งานตรงบริเวณนั้นๆ จะมีอาการปวดมากเพราะการที่ต้องรองรับน้ำหนักตัวเราเอง และยังรับแรงต่อจากขาและสะโพก, ปวดขาจะปวดแบบ แปล๊บ ๆ ร้าว ๆ หรือแสบร้อน, กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง หรือขาชา หากอาการไม่รุนแรงมากสามารถหาซื้อยาคลายกล้ามเนื้อจากร้านขายทั่วไปมาทานเองได้ หากอาการยังไม่หายแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง หากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายได้
การรักษาเบื้องต้น
การรักษาเอ็นสะโพกอักเสบเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการหรือปวดไม่มาก เราสามารถทำได้ด้วยตนเองได้ โดยการหยุดพักกิจกรรมหรืองานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดบวม และสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยตนเอง
- ให้ประคบสะโพกตรงที่มีอาการปวดด้วยน้ำแข็ง, น้ำเย็น, หรือแช่น้ำอุ่นจะสามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อ และมีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดบริเวณสะโพกได้
- ทายาหม่องประเภทน้ำหรือขี้ผึ่งเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดตรงบริเวณที่ปวดบวม
- ให้ลดการเคลื่อนไหวที่จะส่งผลทำให้เกิดแรงกดทับที่บริเวณสะโพก พยายามนอนตะแคงด้านที่ไม่ปวด และห้ามนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน
- ทานยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาใกล้บ้าน (ตามคำแนะนำของเภสัชกร)
- หาหมอนมารองด้านหลังเพื่อยกส่วนที่อักเสบให้สูงจะได้ไม่นอนทับ
- ทำกายภาพบำบัด โดยให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ที่ชำนาญเรื่องข้อกระดูกเชิงกราน
- ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรปล่อยไวนานอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
วิธีการรักษาทางการแพทย์
ทั้งนี้การรักษาทางการแพทย์ก็จะต่างกันไปขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ที่รักษา เช่น
-
- รักษาโดยการฉีดยาบรรเทาอาการเจ็บปวด
- ทำกายภาพบำบัด
- กินยารักษาอาการ
- หากอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
การป้องกันเอ็นไม่ให้เกิดภาวะเอ็นสะโพกอักเสบ
กล้ามเนื้ออักเสบเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่สามารภระบุได้ว่าสาเหตุหลัก ๆ ของเอ็นสะโพกอักเสบเกิดจากสาเหตุอะไร เราสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง หากบรรเทาอาการปวดด้วยตนเองแล้วยังไม่ดีขึ้น และอาการปวดตรงบริเวณสะโพก อาจจะไม่ได้เกิดจากความเมื่อยล้าในการทำงานหนักหรือทำกิจกรรม อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น และต้องเข้ารับการรักษาเพื่อให้การแพทย์ตรวจและวินิจฉัย หรือหากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เช่น
-
- หากรู้สึกปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกขณะที่กำลังทำกิจกรรม เช่นทำงานบ้าน ยกของหนัก เราควรหยุด
- ไม่ควรหักโหมออกกำลังกายบริเวณขาหนักเกินไป
- หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนในท่าเดิมเป็นเวลานาน
- พยายามหลีกเลี่ยงการวิ่งบนถนนนที่เป็นทางลาดชัน หรือที่มีพื้นผิวขรุขระ
อาการบาดเจ็บที่เส้นเอ็นหรือสะโพก อาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆจากกิจกรรมที่เราทำในชีวิตประจำวัน และอุบัติเหตุที่เราไม่คาดคิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะสร้างความเจ็บปวดบางครั้งอาจจะต้องใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน ทำให้การใช้ชีวีตของเราในช่วงนั้นได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดเราควรหลีกเลี่ยงและป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บกับร่างกายของเราจะเป็นทางที่ดีที่สุด