fbpx

ฉีดยาสเตียรอยด์ ลดปวดได้ดีจริงหรือ?

เมื่อความปวดรบกวนชีวิต…การฉีดยาสเตียรอยด์คือคำตอบ?
 
สำหรับผู้ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรัง เช่น โรคเก๊าท์ ข้อเสื่อม หรือข้ออักเสบจากภูมิคุ้มกัน อาจเคยได้ยินคำแนะนำให้ “ฉีดยาสเตียรอยด์” เพื่อบรรเทาอาการปวดแบบเร่งด่วน แต่คำถามที่มักเกิดขึ้นคือ ยาฉีดชนิดนี้ปลอดภัยหรือไม่? ใช้ได้บ่อยแค่ไหน? และจะเกิดผลข้างเคียงระยะยาวหรือเปล่า?
 
ในบทความนี้ คลินิกหมอสุทธิ์จะพาคุณไปรู้จักกับ การฉีดยาสเตียรอยด์ อย่างเข้าใจ ชัดเจน และใช้ได้อย่างปลอดภัย
 

สเตียรอยด์คืออะไร? มีกี่ประเภท และใช้ในโรคใดบ้าง

ประเภทของสเตียรอยด์

“สเตียรอยด์” (Steroids) ในทางการแพทย์ที่เราพูดถึงกันบ่อย คือ คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดอาการอักเสบ ลดบวม และระงับอาการปวดเฉียบพลัน
 
โดยทั่วไป สเตียรอยด์สามารถให้ได้หลายรูปแบบ เช่น:
  • แบบรับประทาน (ยาเม็ด)
  • แบบฉีดเข้ากล้ามหรือข้อ
  • แบบพ่นหรือทาเฉพาะที่
 

โรคที่มักใช้การฉีดยาสเตียรอยด์

  • โรคเก๊าท์ที่กำเริบและมีการอักเสบรุนแรง
  • โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
  • ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
  • เอ็นอักเสบ, ถุงน้ำรอบข้ออักเสบ
  • ภาวะปวดหลังจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
  • ข้อไหล่ติด หรือนิ้วล็อกในระยะเฉียบพลัน
 

อาการและสัญญาณที่อาจพิจารณาการฉีดยา

  • ปวดข้อเฉียบพลันจนขยับไม่ได้
  • ข้ออักเสบบวม แดง ร้อน และไม่ตอบสนองต่อยาแก้อักเสบทั่วไป
  • ปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ แต่กลับมากำเริบแรงกว่าเดิม
  • มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เดินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะปวดข้อ
  • การฉีดยาสเตียรอยด์ ไม่ใช่ทางออกถาวร แต่เป็นทางเลือกเมื่อยารับประทานไม่สามารถควบคุมอาการได้ดีพอ
 

การวินิจฉัยก่อนการฉีดยา: ทำไมต้องพบแพทย์เฉพาะทาง

ก่อนการตัดสินใจฉีดยา แพทย์จำเป็นต้องทำการประเมินให้แน่ชัดว่าโรคนั้นๆ มีสาเหตุจากข้ออักเสบหรือไม่
 

ตำแหน่งข้อที่อักเสบตรงกับจุดที่จะฉีดหรือไม่

  • ไม่มีการติดเชื้อในข้อ
  • มีข้อห้ามใช้สเตียรอยด์หรือไม่ เช่น ผู้ที่มีแผลในกระเพาะ หรือน้ำตาลในเลือดสูงควบคุมไม่ได้
  • การฉีดยาที่ไม่แม่นยำ หรือฉีดในจุดที่ไม่ใช่ อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น เส้นเอ็นขาด หรือข้อเสื่อมเร็วกว่าปกติ
 

ทางเลือกการรักษา: ยาฉีดสเตียรอยด์ดีจริงไหม?

1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
การฉีดยาสเตียรอยด์เป็นทางเลือกที่ใช้ในกรณีเฉียบพลัน หรือเพื่อควบคุมอาการระหว่างรอการรักษาหลัก เช่น:
 
  • ยาแก้อักเสบ (NSAIDs)
  • ยาเฉพาะโรค (เช่น ยาลดกรดยูริกในโรคเก๊าท์)
  • กายภาพบำบัด และการออกกำลังกาย
  • การปรับพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก, ควบคุมอาหาร, หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
 
2. การรักษาแบบผ่าตัด
ในกรณีที่ข้อมีการทำลายถาวร เช่น ข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรง หรือข้อสะโพกทรุดตัว การผ่าตัดใส่ข้อเทียมอาจเป็นทางเลือกในระยะยาว แต่โดยทั่วไปจะพิจารณาหลังจากรักษาทางยาแล้วไม่ตอบสนอง
 

ข้อดีของการฉีดยาสเตียรอยด์

  • ลดอาการปวดได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง
  • ควบคุมการอักเสบในจุดเฉพาะได้ตรงจุด
  • ลดการใช้ยาเม็ดที่อาจมีผลต่อกระเพาะหรือตับ
  • ใช้เพื่อเปิดทางให้เริ่มกายภาพบำบัดได้เร็วขึ้น

ข้อควรระวังและผลข้างเคียง

แม้จะได้ผลเร็ว แต่การใช้สเตียรอยด์ต้องระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ:
  • ห้ามฉีดบ่อยเกิน 3-4 ครั้งต่อข้อใน 1 ปี
  • เสี่ยงต่อข้อเสื่อมถาวรหากฉีดซ้ำๆ
  • อาจทำให้เอ็นอ่อนแรง หรือเอ็นขาด
  • เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
  • อาจมีผิวหนังรอบข้อบางลงหรือเปลี่ยนสี

 

การดูแลตัวเองและป้องกันหลังการฉีดยา

หลังจากได้รับการฉีดยา ผู้ป่วยควร:
  • หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อที่ฉีด 24-48 ชั่วโมง
  • ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดมากขึ้น หรือมีไข้
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ เช่น ทานยาควบคุมโรคหลักต่อ
  • เข้ารับการประเมินซ้ำตามนัด
 

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • หากปวดข้อบ่อย ๆ หรือไม่ตอบสนองต่อยาเม็ด
  • ข้อเริ่มผิดรูป หรือมีการเคลื่อนไหวน้อยลง
  • มีประวัติเคยฉีดสเตียรอยด์มาแล้ว แต่ยังมีอาการ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรได้รับการดูแลเฉพาะบุคคล
 
การฉีดยาสเตียรอยด์ไม่ใช่คำตอบของทุกอาการปวด แต่เป็นเครื่องมือหนึ่งที่แพทย์เลือกใช้เมื่อจำเป็น หากใช้อย่างเหมาะสมภายใต้การประเมินอย่างละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยบรรเทาอาการและฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
 

ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”

โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *