หลายคนเริ่มรู้สึกว่า ปวดข้อ ปวดเข่า ข้อฝืดตึง ลุกเดินไม่คล่องเหมือนเดิม เมื่ออายุมากขึ้น และมักคิดว่าเป็นเรื่องปกติของวัยที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” จึงปล่อยให้ทนไปเรื่อย ๆ โดยไม่เข้ารับการตรวจ
แต่ในความเป็นจริง กระดูกและข้อที่เสื่อมตามอายุ ไม่ได้เกิดขึ้นแบบกะทันหัน หากเป็นกระบวนการที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง และสามารถชะลอหรือดูแลได้ หากรู้เท่าทันตั้งแต่ระยะเริ่มต้น บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่า ทำไมอายุที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้กระดูกเสื่อม อาการแบบไหนคือสัญญาณเตือน และควรดูแลรักษาอย่างไรเพื่อคงคุณภาพชีวิตที่ดี
สาเหตุและการเปลี่ยนแปลงของกระดูกเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
การเสื่อมตามธรรมชาติของร่างกาย
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ได้แก่
- มวลกระดูกลดลง
- กระดูกอ่อนบางและสึกกร่อน
- น้ำไขข้อผลิตได้น้อยลง
- กล้ามเนื้อและเอ็นรอบข้ออ่อนแรงลง
- การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ ข้อรับแรงกระแทกได้น้อยลง และเกิดอาการปวดหรือฝืดได้ง่าย
ปัจจัยเสริมที่ทำให้กระดูกเสื่อมเร็วขึ้น
- การใช้งานข้อหนักเป็นเวลานาน
- น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
- ขาดการออกกำลังกาย
- กล้ามเนื้อรอบข้อไม่แข็งแรง
- ประวัติบาดเจ็บหรือผ่าตัดข้อ
- โรคประจำตัว เช่น เก๊าท์ ข้ออักเสบ
- โรคกระดูกและข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
- โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นโรคข้อที่พบมากที่สุด
- กระดูกอ่อนผิวข้อสึก ข้อฝืดตึง โดยเฉพาะตอนเช้าหรือนั่งนาน ปวดมากขึ้นเมื่อเดินหรือขึ้นลงบันได
- กระดูกพรุน
- กระดูกบาง เปราะ แตกง่าย
- อาจไม่แสดงอาการจนกระดูกหัก
- พบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน
- โรคข้ออักเสบและเก๊าท์ในวัยสูงอายุ
- ข้อบวม แดง ร้อน ปวด
- อาการกำเริบเป็นช่วง ๆ
- หากควบคุมไม่ดี อาจเร่งให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม
อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่ากระดูกและข้อกำลังเสื่อมมากขึ้น
- ปวดข้อเรื้อรัง โดยเฉพาะเข่า สะโพก หลัง
- ข้อฝืดตึงในตอนเช้า หรือหลังนั่งนาน
- งอหรือเหยียดข้อได้ไม่สุด
- มีเสียงดังกรอบแกรบในข้อ
- ข้อบวม หรือผิดรูป
- ปวดจนรบกวนการเดิน การนั่ง หรือการนอน
- หกล้มง่าย หรือรู้สึกข้อไม่มั่นคง
หากมีอาการเหล่านี้ต่อเนื่อง ไม่ควรคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของวัย
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อจะช่วยประเมินอย่างเป็นระบบ ได้แก่
- ซักประวัติอาการและการใช้งานข้อ
- ตรวจการเคลื่อนไหว ความแข็งแรง และความมั่นคงของข้อ
- เอกซเรย์ เพื่อตรวจดูการเสื่อมของข้อ
- ตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก (ในรายสงสัยกระดูกพรุน)
- MRI ในกรณีที่ต้องดูเอ็นหรือกระดูกอ่อนอย่างละเอียด
- การตรวจที่เหมาะสมช่วยให้วางแผนการรักษาได้ตรงจุด
แนวทางการรักษา: ทางเลือกเพื่อชะลอความเสื่อมของกระดูก
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (แนวทางหลัก)
- ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ ตามคำแนะนำแพทย์
- กายภาพบำบัด เพื่อเสริมกล้ามเนื้อรอบข้อ
- การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย
- ควบคุมน้ำหนัก ลดภาระของข้อ
- ปรับท่าทางการใช้ชีวิตประจำวัน
- ฉีดยาในข้อ (เฉพาะรายที่จำเป็น)
การรักษาแบบผ่าตัด (เมื่อจำเป็น)
- ใช้ในผู้ที่ข้อเสื่อมรุนแรง
- มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิต
- การรักษาอื่นไม่ได้ผลเช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
- การดูแลตั้งแต่วันนี้ช่วยชะลอความเสื่อมของกระดูกได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
- เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ
- หลีกเลี่ยงการนั่งพับเข่า นั่งยองเป็นเวลานาน
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและโปรตีนเหมาะสม
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพข้อเป็นระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการผิดปกติ
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ปวดข้อหรือข้อฝืดตึงนานเกิน 2–4 สัปดาห์
- อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
- เดินลำบาก ลุกนั่งไม่สะดวก
- มีประวัติโรคข้อเข่าเสื่อม หรือโรคเก๊าท์
- อาการรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
แม้ว่า อายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กระดูกและข้อเสื่อมลงได้จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องยอมรับโดยไม่มีทางเลือก การรู้เท่าทันสัญญาณเตือน ดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี และเข้ารับการตรวจจากแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยชะลอความเสื่อม ลดอาการปวด และรักษาคุณภาพชีวิตให้ดีได้ในระยะยาว

