อาการ “ปวดสะบัก” เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ ยกของหนัก หรือใช้ท่าทางซ้ำ ๆ จนกล้ามเนื้อตึงตัว แต่หากอาการปวดสะบักเรื้อรังนานเกิน 1–2 สัปดาห์ หรือปวดมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือลามไปถึงหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งควรได้รับการตรวจประเมินอย่างถูกต้องจากแพทย์
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า “ปวดสะบักแบบไหนที่อันตราย” และควรรีบไปพบแพทย์เมื่อใด
สาเหตุและประเภทของอาการปวดสะบัก
1. ปวดสะบักจากกล้ามเนื้อตึงหรือใช้งานหนักเกินไป
เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจาก
- นั่งทำงานหลังค่อม
- อยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน
- ยกของหนัก
- ออกกำลังกายผิดท่า
กล้ามเนื้อบริเวณสะบัก เช่น กล้ามเนื้อ Levator Scapulae, Trapezius, หรือ Rhomboids มักเกิดการหดเกร็งจนกลายเป็นก้อนลำ ๆ ที่กดแล้วเจ็บ ซึ่งเรียกว่า “จุดกดเจ็บ (Trigger Point)”
2. ปวดสะบักจากเส้นประสาทถูกกดทับ
โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหา
- หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม
- กระดูกสันหลังคอตีบ
- หมอนรองกระดูกคอปลิ้น
- ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่ใช่แค่ปวดสะบัก แต่ยังมีอาการร่วม เช่น ปวดร้าวลงแขน ชา ปลายมืออ่อนแรง
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจบ่งบอกปัญหาที่รุนแรงกว่า “แค่เมื่อย”
อาการเตือนสำคัญ (Warning Signs):
- ปวดสะบักนานเกิน 2 สัปดาห์
- ปวดรุนแรงจนรบกวนการนอน
- ปวดร้าวขึ้นคอหรือร้าวลงแขน
- มีอาการชา หรือแขนอ่อนแรงร่วมด้วย
- ยกแขนไม่ขึ้น หรือมีเสียง “ลั่น” ในหัวไหล่
- มีอาการปวดเมื่อหันคอหรือเงยหน้า
- อาการปวดเกิดขึ้นซ้ำ ๆ บ่อยจนเป็นเรื้อรัง
- ไหล่มีลักษณะผิดรูป หรือบวมแดงร่วมด้วย
อาการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาหมอนรองกระดูกอักเสบ การกดทับเส้นประสาท หรือเอ็นรอบหัวไหล่ฉีกขาด
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
เมื่อเข้าพบแพทย์ แพทย์จะตรวจอย่างละเอียดโดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย: ดูลักษณะการปวด ตำแหน่งที่กดเจ็บ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- เอกซเรย์คอหรือไหล่: ตรวจความผิดปกติของกระดูก
- อัลตราซาวด์ไหล่: ตรวจเส้นเอ็นหัวไหล่ เช่น เอ็นไหล่ฉีก เอ็นอักเสบ
- MRI: ใช้กรณีสงสัยหมอนรองกระดูกสันหลังคอปลิ้นหรือเส้นประสาทถูกกดทับ
- การประเมินท่าทาง (Posture Analysis): ตรวจว่าท่านั่งทำงานทำให้ปวดสะบักหรือไม่
- การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้เลือกการรักษาได้ตรงจุดและหายเร็วขึ้นมาก
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
4.1 การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
1. การใช้ยา
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยาลดการอักเสบ
- ยาบรรเทาอาการปวดเฉพาะจุด
2. กายภาพบำบัด
เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น
- การยืดเหยียดเฉพาะจุด
- อัลตราซาวด์ลดปวด
- คลื่นกระแทก (Shockwave)
- การฝังเข็มทางการแพทย์
- การจัดท่ากายภาพเพื่อแก้ Posture
3. ฉีดยารักษาเฉพาะที่
สำหรับผู้ที่มีจุดกดเจ็บเรื้อรังหรือเอ็นอักเสบเฉพาะจุด เช่น
- ฉีดยาลดอักเสบ
- ฉีดคลายจุด Trigger Point
4. แนะนำการปรับพฤติกรรม
- ปรับท่านั่งทำงาน
- ใช้หมอนรองหลัง
- เปลี่ยนเก้าอี้ให้เหมาะกับสรีระ
- พักทุก 45–60 นาทีเพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ
4.2 การรักษาแบบผ่าตัด (กรณีจำเป็น)
โดยเฉพาะหากปวดสะบักเกิดจากหมอนรองกระดูกคอปลิ้นหรือกดทับเส้นประสาทรุนแรง และอาการไม่ดีขึ้นหลังรักษาแบบปกติ
- ผ่าตัดเอาส่วนของหมอนรองกระดูกที่กดทับออก
- ผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง
- การผ่าตัดจะพิจารณาอย่างระมัดระวังเฉพาะผู้ที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนเท่านั้น
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
วิธีป้องกันอาการปวดสะบักแบบง่าย ๆ
- เปลี่ยนท่านั่งทุก 45 นาที
- นั่งหลังตรง ไม่ไหล่ห่อ
- ปรับโต๊ะและเก้าอี้ให้ระดับสายตาเหมาะสม
- ยืดกล้ามเนื้อสะบักและคอวันละ 5–10 นาที
- ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อหลังส่วนบน
- หลีกเลี่ยงยกของหนักผิดท่า
- นอนหมอนที่ไม่สูงหรือเตี้ยเกินไป
- การดูแลตัวเองสม่ำเสมอสามารถป้องกันอาการเรื้อรังและลดภาวะแทรกซ้อนได้
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?
ควรรีบพบแพทย์หากพบว่า:
- อาการปวดนานเกิน 2 สัปดาห์
- ปวดร้าวลงแขนหรือมีอาการชา
- ไหล่ขยับลำบากหรือยกแขนไม่ขึ้น
- ชาปลายมือ อ่อนแรง จับของหลุดมือ
- ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ตอบสนองต่อยา
- มีอาการหลังอุบัติเหตุ เช่น ล้ม หรือกระแทกแรง
- อาการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทหรือหมอนรองกระดูก ซึ่งการรักษาเร็วจะช่วยลดภาวะเรื้อรังได้มาก
อาการปวดสะบักอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่กล้ามเนื้อเกร็งทั่วไปจนถึงภาวะเส้นประสาทถูกกดทับหรือหมอนรองกระดูกผิดปกติ หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามจนปวดเรื้อรังหรือไหล่ติด การสังเกตอาการเตือนและการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

