เมื่อพูดถึงโรคเก๊าท์ หลายคนมักนึกถึงอาการปวดข้อ บวม แดง และเคลื่อนไหวยาก แต่จริงๆ แล้วโรคนี้มีมากกว่าที่คิด เพราะหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องหรือปล่อยให้อาการกำเริบซ้ำๆ ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเกิด โรคแทรกซ้อน ที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ การรู้เท่าทันโรคแทรกซ้อนเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพ ป้องกันความเสี่ยง และรักษาได้ทันท่วงที
สาเหตุและประเภทของโรคเก๊าท์
ทำไมถึงเกิดโรคเก๊าท์?
โรคเก๊าท์เกิดจากการสะสมของ กรดยูริก ในเลือดจนสูงเกินไป และตกผลึกในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ สาเหตุหลัก ได้แก่
- การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ความผิดปกติทางพันธุกรรม ที่ทำให้ร่างกายกำจัดกรดยูริกได้ยากขึ้น
- โรคประจำตัว เช่น โรคไตเรื้อรัง, โรคอ้วน, ความดันโลหิตสูง
ประเภทของโรคเก๊าท์
- เก๊าท์เฉียบพลัน: ปวดข้อแบบเฉียบพลัน มักเกิดที่หัวแม่เท้า
- เก๊าท์เรื้อรัง: เกิดจากการอักเสบซ้ำๆ จนข้อเสียหาย และอาจเกิดก้อนโทฟัส (Tophi)
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักมีอาการชัดเจน ได้แก่
- ปวดข้อรุนแรง โดยเฉพาะข้อหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า
- ข้อบวม แดง ร้อน และเจ็บมาก
- ขยับข้อได้ยาก
- ในรายที่เรื้อรัง อาจมี ก้อนโทฟัส เกิดขึ้นรอบข้อหรือเอ็น
- หากปล่อยไว้นาน อาจพบปัญหาในระบบไตและหัวใจร่วมด้วย
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะสอบถามประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดวัดระดับกรดยูริก และอาจทำการตรวจน้ำในข้อเพื่อหาผลึกกรดยูริก นอกจากนี้ การเอกซเรย์หรืออัลตราซาวด์สามารถช่วยประเมินความเสียหายของข้อและตรวจหาก้อนโทฟัสได้
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- การใช้ยาแก้อักเสบ ลดปวด เช่น NSAIDs
- ยาลดกรดยูริก เพื่อลดการสะสมในร่างกาย
- การปรับพฤติกรรม เช่น ลดอาหารพิวรีนสูง ลดน้ำหนัก และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหว
การรักษาแบบผ่าตัด
หากพบก้อนโทฟัสขนาดใหญ่ หรือข้อถูกทำลายมาก อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเอาก้อนออกหรือซ่อมแซมข้อ เพื่อป้องกันการกดทับเส้นประสาทหรือเส้นเลือด
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
เคล็ดลับป้องกันโรคแทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์
- ควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดให้เหมาะสม
- ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน
- รับประทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง
- หลีกเลี่ยงอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนัก
- ตรวจสุขภาพ และติดตามระดับกรดยูริกกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง
โรคแทรกซ้อนที่ควรระวัง
- นิ่วในไต ระดับกรดยูริกสูงอาจตกผลึกในไต กลายเป็นนิ่ว ส่งผลให้ปวดหลัง ปัสสาวะขัด หรือมีเลือดปน
- โรคไตเรื้อรัง การสะสมของกรดยูริกอาจทำลายการทำงานของไต นำไปสู่ไตวายได้
- โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยเก๊าท์มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง
- ข้อผิดรูปหรือข้อเสื่อม เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง ทำให้ข้อเสียหาย เคลื่อนไหวลำบาก หรือผิดรูป
- ภาวะโทฟัส (Tophi) ก้อนกรดยูริกสะสมรอบข้อ เอ็น หรือใต้ผิวหนัง อาจกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการชา หรือปวดเรื้อรัง
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ปวดข้อรุนแรงจนขยับไม่ได้
- พบก้อนผิดปกติรอบข้อหรือใต้ผิวหนัง
- มีอาการไตวาย เช่น ปัสสาวะน้อย บวมตามขา หรือเหนื่อยง่าย
- มีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรืออาการหลอดเลือดอุดตัน
- มีไข้หรืออาการอักเสบทั่วร่างกาย
โรคเก๊าท์ไม่ใช่แค่เรื่องปวดข้อ แต่หากปล่อยไว้นาน อาจนำไปสู่ โรคแทรกซ้อน ที่ร้ายแรงได้ การตรวจวินิจฉัย การดูแลตัวเอง และการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงและยืดอายุข้อ รวมถึงอวัยวะสำคัญอื่นๆ การรู้ทันและไม่ละเลยอาการผิดปกติ คือกุญแจสำคัญสู่สุขภาพที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี
หากคุณหรือคนในครอบครัวมีอาการปวดข้อ หรือสงสัยว่าเป็นโรคเก๊าท์ อย่ารอช้า!
ปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ คลินิกหมอสุทธิ์ วันนี้ เพื่อรับการดูแลอย่างถูกต้อง ป้องกันโรคแทรกซ้อน และฟื้นฟูสุขภาพของคุณให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์