โรคเก๊าท์ไม่จำเป็นต้องผ่านทางพันธุกรรมจริงหรือไม่?
หลายคนมักเข้าใจว่า “โรคเก๊าท์” เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเท่านั้น หากไม่มีใครในครอบครัวเป็น ก็ไม่น่าจะต้องกังวล แต่ในความจริงแล้ว โรคเก๊าท์ (Gout) เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งพันธุกรรมและปัจจัยด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการบริโภคอาหารพิวรีนสูงและใช้ชีวิตแบบนั่งทำงานมากกว่าการเคลื่อนไหวร่างกาย
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า “โรคเก๊าท์” ไม่ได้เกิดจากยีนเพียงอย่างเดียว พร้อมแนวทางการป้องกันและดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอาการปวดข้อเรื้อรังนี้
🧬 สาเหตุของโรคเก๊าท์: พันธุกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
พันธุกรรมมีผลจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
โรคเก๊าท์เกิดจากการสะสมของ กรดยูริก (Uric Acid) ในเลือดสูงกว่าปกติ จนเกิดการตกผลึกที่ข้อ ทำให้ข้ออักเสบ ปวด บวม แดง และร้อน
พันธุกรรมมีบทบาทอยู่บ้าง — โดยเฉพาะในคนที่ร่างกายขับกรดยูริกได้น้อย หรือมีความผิดปกติของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายพิวรีน
แต่จากการศึกษาพบว่า มีเพียง 20–30% ของผู้ป่วยเก๊าท์เท่านั้นที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ซึ่งหมายความว่า อีกกว่า 70% ของผู้ป่วยเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถควบคุมได้ เช่น อาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับพันธุกรรม แต่กระตุ้นให้เกิดเก๊าท์ได้ง่าย
- การบริโภคอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน ปลาทู หน่อไม้ ยอดผัก ถั่วเมล็ดแข็ง
- ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยเฉพาะเบียร์และเหล้า
- น้ำตาลฟรุกโตสสูง ในเครื่องดื่มหรือขนมหวาน
- โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง เบาหวาน
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาควบคุมความดันบางชนิด
- ภาวะอ้วนหรือเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ “เปลี่ยนแปลงได้” และเป็นสาเหตุหลักของเก๊าท์ในคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีพันธุกรรมเกี่ยวข้องเลย
🔎อาการและสัญญาณเตือนของโรคเก๊าท์ที่ไม่ควรมองข้าม
เมื่อกรดยูริกสะสมมากจนตกผลึกในข้อ จะทำให้เกิดอาการอักเสบเฉียบพลัน โดยมีสัญญาณเตือนดังนี้:
- ปวดข้อเฉียบพลัน มักเกิดตอนกลางคืนหรือตอนเช้า
- ข้อบวม แดง ร้อน โดยเฉพาะที่ โคนนิ้วหัวแม่เท้า
- ปวดมากจนเดินหรือขยับไม่ได้
- บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย เมื่ออาการเป็นเรื้อรัง จะเกิด ก้อนโทฟัส (Tophi) ซึ่งเป็นก้อนกรดยูริกสะสมตามข้อหรือใบหู
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงหรือกระทบต่อไตได้
🧪 การวินิจฉัยโรคเก๊าท์
แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น
- ตรวจเลือดดูระดับกรดยูริก (Uric Acid Test)
- ตรวจน้ำในข้อ (Joint Fluid Analysis) เพื่อยืนยันว่ามีผลึกยูเรต
- เอกซเรย์หรืออัลตราซาวด์ข้อ เพื่อดูการอักเสบหรือความเสียหายของข้อ
ผลการตรวจเหล่านี้ช่วยแยกโรคเก๊าท์ออกจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น เช่น รูมาตอยด์ หรือข้อเสื่อม ซึ่งอาการอาจคล้ายกัน
💊 แนวทางการรักษา: ควบคุมได้ ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดต่อ
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- ยาแก้อักเสบ (NSAIDs) ลดอาการปวดและบวม
- ยาลดกรดยูริก (Allopurinol, Febuxostat) เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกระยะยาว
- การประคบเย็นและพักข้อ ช่วยบรรเทาอาการเฉียบพลัน
- ปรับพฤติกรรมการกินและดื่ม หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง และเพิ่มการดื่มน้ำ
การรักษาแบบผ่าตัด (ในกรณีจำเป็น)
พบไม่บ่อย แต่ในรายที่มีก้อนโทฟัสขนาดใหญ่ หรือข้อถูกทำลายมาก อาจต้องผ่าตัดเอาก้อนออกเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันการติดเชื้อ
🥗 การดูแลตัวเองและป้องกันโรคเก๊าท์ในชีวิตประจำวัน
การปรับพฤติกรรมช่วยลดความเสี่ยงเก๊าท์ได้มาก แม้ไม่มีพันธุกรรมก็ตาม
แนวทางดูแลตัวเองที่ควรทำ ได้แก่:
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
- ลดอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาน้ำลึก หน่อไม้ ยอดผัก ถั่วเมล็ดแข็ง
- จำกัดการดื่มเบียร์และแอลกอฮอล์
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ
- หลีกเลี่ยงการอดอาหารหรือควบคุมอาหารแบบผิดวิธี เพราะอาจทำให้กรดยูริกพุ่งสูง
⚠️ เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
หากคุณมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางข้อและกระดูก:
- ปวดข้อซ้ำบริเวณเดิมหลายครั้ง
- ข้อบวมแดงเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงจากการตรวจสุขภาพ
- มีก้อนใต้ผิวหนัง หรือเคยมีอาการคล้ายเก๊าท์ในครอบครัว
- แพทย์จะช่วยวินิจฉัย แนะนำการรักษา และวางแผนการดูแลอย่างเหมาะสมเฉพาะบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นเรื้อรัง
แม้พันธุกรรมจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ได้ง่ายขึ้น แต่ สาเหตุหลักที่พบบ่อยในปัจจุบันมาจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวัน การปรับพฤติกรรมอย่างถูกต้อง เช่น เลือกอาหารที่เหมาะสม ดื่มน้ำมากขึ้น และออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดระดับกรดยูริกและป้องกันการเกิดเก๊าท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

