fbpx

อายุน้อยเสี่ยงโรคเก๊าท์ได้ไหม? ทำความเข้าใจเพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพข้อ

หลายคนอาจเข้าใจว่า โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว คนอายุน้อยก็สามารถมีความเสี่ยงได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือพันธุกรรมที่เอื้อให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูง โรคเก๊าท์เกิดจากการสะสมของกรดยูริกจนตกผลึกในข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง และอักเสบอย่างเฉียบพลัน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะข้อเสื่อมเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้
บทความนี้คลินิกหมอสุทธิ์จะพาคุณทำความเข้าใจว่า ทำไมคนอายุน้อยก็เสี่ยงโรคเก๊าท์ได้ พร้อมทั้งแนะนำวิธีป้องกัน ดูแลตัวเอง และสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์ในคนอายุน้อย

แม้อายุจะยังไม่มาก แต่หากมีปัจจัยต่อไปนี้ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์ได้
1. พันธุกรรม
  • หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเก๊าท์ ระดับกรดยูริกในเลือดมักสูงกว่าคนทั่วไป
  • พบได้บ่อยในผู้ชายอายุ 20–40 ปีที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
2. พฤติกรรมการกินและดื่ม
  • การรับประทานอาหารที่มี พิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล น้ำซุปเข้มข้น หน่อไม้ หรือถั่วเมล็ดแข็ง
  • การดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งมีสารพิวรีนสูงและขัดขวางการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
  • เครื่องดื่มหวานที่มี ฟรุกโตสสูง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้น
3. โรคประจำตัวและการใช้ยา
  • โรคไตเรื้อรัง, ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน หรือโรคอ้วน
  • ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) อาจทำให้กรดยูริกคั่งในร่างกาย

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

โรคเก๊าท์ในคนอายุน้อยมักถูกมองข้าม เพราะคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่หากมีอาการต่อไปนี้ ควรระวังเป็นพิเศษ:
  • ปวดข้ออย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า
  • ข้อบวม แดง ร้อน กดเจ็บมาก
  • ปวดข้อกลางคืนหรือตอนเช้าแบบกะทันหัน
  • มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ หากปล่อยไว้จะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
  • ในบางรายอาจพบก้อนยูริก (Tophi) ใต้ผิวหนัง เมื่อโรคเป็นมานาน
ข้อควรจำ: หากมีอาการเหล่านี้ในวัย 20–40 ปี อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ควรเข้าพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

แพทย์จะใช้วิธีการดังนี้ในการวินิจฉัยโรคเก๊าท์:
  • การซักประวัติอาการและประวัติครอบครัว
  • ตรวจเลือดเพื่อดูระดับ กรดยูริก (Uric Acid)
  • การตรวจน้ำไขข้อเพื่อหาผลึกยูริก
  • ในบางรายอาจทำ อัลตราซาวด์ข้อ หรือเอกซเรย์ เพื่อประเมินความเสียหายของข้อ

แนวทางการรักษา: ทางเลือกเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
  • ยาแก้อักเสบ เพื่อลดอาการปวดและบวม
  • ยาลดกรดยูริก สำหรับผู้ที่มีอาการซ้ำหรือกรดยูริกสูงเรื้อรัง
  • การปรับพฤติกรรม เช่น ลดอาหารพิวรีนสูง ดื่มน้ำมาก ๆ ลดน้ำหนัก และงดแอลกอฮอล์
  • กายภาพบำบัด เพื่อเสริมความแข็งแรงของข้อและป้องกันการอักเสบซ้ำ
2. การรักษาแบบผ่าตัด
  • พบไม่บ่อย มักใช้ในผู้ป่วยที่มี ก้อนยูริกขนาดใหญ่ กดเบียดเส้นประสาทหรือข้อติดแข็ง
  • การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
  • เพื่อป้องกันไม่ให้โรคเก๊าท์กำเริบหรือเกิดขึ้นตั้งแต่อายุน้อย ควรปฏิบัติดังนี้:
  • ดื่มน้ำวันละ 2–3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริก
  • ลดหรือเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล หน่อไม้ ถั่วเมล็ดแข็ง
  • งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่หักโหม
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะระดับกรดยูริก

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • มีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลันรุนแรง
  • อาการปวดซ้ำบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ
  • พบก้อนยูริกใต้ผิวหนัง
  • มีโรคประจำตัว เช่น ไต ความดัน เบาหวาน ร่วมด้วย
  • การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ระยะแรก จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงข้อเสื่อม และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต
แม้อายุยังน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากโรคเก๊าท์เสมอไป ปัจจัยอย่างพันธุกรรม พฤติกรรมการกิน การดื่ม และสุขภาพโดยรวมล้วนมีบทบาทสำคัญ การตระหนักรู้และใส่ใจตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและดูแลข้อให้แข็งแรงในระยะยาว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *