fbpx

เมื่อร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกได้: เข้าใจโรคเก๊าท์และการดูแลอย่างถูกวิธี

หลายคนอาจเคยได้ยินว่า “โรคเก๊าท์เกิดจากกรดยูริกสูง” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจว่าทำไมกรดยูริกถึงสูงขึ้นจนก่อปัญหา ความจริงแล้ว สาเหตุหลักคือ ร่างกายผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือไม่สามารถขับออกได้เพียงพอ โดยเฉพาะผ่านทางไต ส่งผลให้กรดยูริกตกผลึกสะสมตามข้อ จนเกิดการอักเสบ ปวด บวม และกลายเป็นโรคเก๊าท์ในที่สุด บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่สาเหตุ อาการ สัญญาณเตือน ไปจนถึงแนวทางการรักษาและการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี

สาเหตุและประเภทของภาวะกรดยูริกสูง

1. การผลิตกรดยูริกมากเกินไป
  • เกิดจากร่างกายเผาผลาญสาร พิวรีน (Purine) ซึ่งมีอยู่ในอาหารและเซลล์ร่างกาย
  • การรับประทานอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง อาหารทะเลบางชนิด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2. การขับกรดยูริกออกได้น้อย
  • ไตทำงานบกพร่อง ไม่สามารถขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้ดี
  • ภาวะดื่มน้ำน้อย ขาดน้ำ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคไตเรื้อรัง
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

หากร่างกายสะสมกรดยูริกมากเกินไป อาจแสดงอาการดังนี้
  • ปวดข้อเฉียบพลัน มักเกิดตอนกลางคืน
  • ข้อบวม แดง ร้อน กดเจ็บ โดยเฉพาะข้อหัวแม่เท้า ข้อเข่า หรือข้อเท้า
  • เคลื่อนไหวลำบาก เนื่องจากอาการปวดรุนแรง
  • หากเป็นเรื้อรัง อาจพบก้อน โทฟัส (Tophi) ที่ข้อนิ้ว ข้อศอก หรือใบหู
  • ในบางรายมีนิ่วในไต หรืออาการไตเสื่อมร่วมด้วย

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโดย
  • ซักประวัติอาการ ปัจจัยเสี่ยง และประวัติครอบครัว
  • ตรวจร่างกายและตำแหน่งข้อที่อักเสบ
  • ตรวจเลือดเพื่อดูระดับกรดยูริก
  • ตรวจน้ำไขข้อเพื่อหาผลึกยูเรต (Urates)
  • ตรวจการทำงานของไตร่วมด้วย

แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
  • ยาลดอาการปวดและอักเสบ เช่น NSAIDs, Colchicine
  • ยาลดระดับกรดยูริก เช่น Allopurinol, Febuxostat ใช้ในรายที่มีกรดยูริกสูงต่อเนื่อง
  • กายภาพบำบัดและการพักข้อ ลดการอักเสบและช่วยให้ข้อฟื้นตัว
  • การปรับพฤติกรรมการกิน เช่น ลดอาหารพิวรีนสูง ดื่มน้ำมากขึ้น
การรักษาแบบผ่าตัด (ในบางกรณี)
  • ใช้ในผู้ป่วยที่มีก้อนโทฟัสขนาดใหญ่จนกดเบียดเส้นประสาทหรือจำกัดการเคลื่อนไหว
  • ผู้ที่มีนิ่วในไตรุนแรงจนการรักษาแบบทั่วไปไม่ได้ผล
  • การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
  • ดื่มน้ำสะอาดวันละ 2–3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาซาร์ดีน ถั่วบางชนิด
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์และโรคไต
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่หักโหมเกินไป
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์หรือโรคไต

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • มีอาการปวดข้อเฉียบพลันและบวมแดงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง
  • มีก้อนโทฟัสหรือนิ่วในไต
  • มีอาการไตเสื่อมร่วมกับภาวะกรดยูริกสูง
ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกได้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หากละเลยอาจนำไปสู่ความเจ็บปวดเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนต่อไต การรู้เท่าทันอาการ สัญญาณเตือน และการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”

โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *