เมื่ออาการ โรคเก๊าท์กำเริบ ปวด บวม แดง ร้อนที่ข้ออย่างรุนแรง หลายคนเลือกวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดคือ “การฉีดยาแก้ปวด” เพราะอาการทุเลาลงแทบจะทันที แต่รู้หรือไม่ว่า การฉีดยาเมื่อเก๊าท์กำเริบบ่อย ๆ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีในระยะยาว และอาจซ่อนความเสี่ยงต่อข้อ กระดูก และสุขภาพโดยรวมโดยที่คุณไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่า การฉีดยาเก๊าท์คืออะไร ใช้เมื่อไร เหมาะหรือไม่เหมาะกับใคร พร้อมสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณดูแลโรคเก๊าท์ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
สาเหตุและกลไกของโรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์เกิดจากอะไร?
โรคเก๊าท์ (Gout) เกิดจาก ระดับกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติ จนตกผลึกเป็นผลึกยูเรตสะสมในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน
ปัจจัยที่ทำให้เก๊าท์กำเริบ เช่น
- รับประทานอาหารพิวรีนสูง (เครื่องใน หน่อไม้ เหล้า เบียร์)
- ดื่มแอลกอฮอล์
- ขาดน้ำ
- ไม่กินยาลดกรดยูริกอย่างต่อเนื่อง
- ความเครียด หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
ทำไมอาการถึงปวดรุนแรง?
เมื่อผลึกกรดยูริกกระตุ้นการอักเสบ ร่างกายจะตอบสนองอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการ
- ปวดมากจนเดินไม่ได้
- ข้อบวม แดง ร้อน
- เจ็บแม้แค่ผ้าห่มสัมผัส
การฉีดยาเมื่อเก๊าท์กำเริบ คืออะไร?
การฉีดยาที่ใช้ในผู้ป่วยเก๊าท์กำเริบ มักเป็น
- ยาสเตียรอยด์ (Steroid injection)
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดเข้าข้อ
- วัตถุประสงค์คือ ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดอย่างรวดเร็ว
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
เมื่อ “ฉีดยาแล้วดี แต่โรคยังไม่หาย”
แม้การฉีดยาจะทำให้อาการดีขึ้นเร็ว แต่มีสัญญาณเตือนที่ควรระวัง ได้แก่
❗ เก๊าท์กำเริบซ้ำบ่อยขึ้น
❗ ต้องฉีดยาทุกครั้งที่ปวด
❗ อาการดีขึ้นชั่วคราว แต่กลับมาเป็นใหม่
❗ ข้อเริ่มผิดรูป หรือเคลื่อนไหวได้น้อยลง
❗ ปวดหลายข้อพร้อมกัน
สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่า โรคกำลังเข้าสู่ระยะเรื้อรัง และอาจมีการทำลายข้อเกิดขึ้นแล้ว
ทำไม “ฉีดยาเก๊าท์” ไม่ได้ดีอย่างที่คิด
1. รักษาอาการ แต่ไม่แก้ที่ต้นเหตุ
-
- การฉีดยา ไม่สามารถลดกรดยูริกในเลือดได้ จึงไม่หยุดการเกิดผลึกใหม่ในข้อ
2. เสี่ยงข้อเสื่อมและกระดูกบาง การฉีดสเตียรอยด์ซ้ำ ๆ อาจทำให้
-
- กระดูกอ่อนเสื่อมเร็ว
- ข้อพังเร็วขึ้น
- เสี่ยงข้ออักเสบติดเชื้อ
3. กระทบสุขภาพระยะยาว
หากฉีดบ่อยหรือขนาดสูง อาจส่งผลต่อ
- ความดันโลหิต
- น้ำตาลในเลือด
- ภูมิคุ้มกัน
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์เฉพาะทางจะประเมินอย่างละเอียด เช่น
- ซักประวัติอาการและความถี่ของการกำเริบ
- ตรวจระดับกรดยูริกในเลือด
- เอกซเรย์ หรือ MRI (ในรายที่สงสัยข้อเสียหาย)
- ตรวจภาวะแทรกซ้อน เช่น ไต หรือข้อผิดรูป
การวินิจฉัยที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการรักษาเก๊าท์อย่างยั่งยืน
แนวทางการรักษาเก๊าท์ที่ถูกต้องและปลอดภัย
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (แนวทางหลัก)
- ยาลดกรดยูริก เพื่อควบคุมโรคในระยะยาว
- ยาลดการอักเสบ ตามข้อบ่งชี้ของแพทย์
- ปรับพฤติกรรมการกิน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ควบคุมน้ำหนัก
- ติดตามผลเลือดอย่างสม่ำเสมอ
การฉีดยาอาจใช้ได้ในบางกรณี ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น และไม่ควรใช้เป็นทางเลือกหลัก
การรักษาแบบผ่าตัด (กรณีจำเป็น)
ในผู้ป่วยที่มี
- ข้อถูกทำลายรุนแรง
- มีก้อนโทฟัส (Tophus) ขนาดใหญ่
- อาจจำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัดเฉพาะราย
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
- หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง
- งดหรือจำกัดแอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำวันละ 2–3 ลิตร
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง
- ไม่หยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น
- ตรวจสุขภาพเป็นระยะ
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- เก๊าท์กำเริบบ่อยกว่า 2–3 ครั้งต่อปี
- ต้องพึ่งการฉีดยาเป็นประจำ
- อาการปวดรุนแรงขึ้นหรือหลายข้อ
- ข้อเริ่มผิดรูปหรือใช้งานลำบาก
การพบแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้
การฉีดยาเมื่อเก๊าท์กำเริบอาจช่วยบรรเทาอาการได้เร็ว แต่ ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ หากใช้โดยไม่วางแผนการรักษาระยะยาว อาจนำไปสู่ข้อเสื่อม ข้อพัง และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ การดูแลเก๊าท์อย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก คือการควบคุมกรดยูริกอย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

