fbpx

ฉีดยาเมื่อเก๊าท์กำเริบ ไม่ได้ดีอย่างที่คิด

เมื่ออาการ โรคเก๊าท์กำเริบ ปวด บวม แดง ร้อนที่ข้ออย่างรุนแรง หลายคนเลือกวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดคือ “การฉีดยาแก้ปวด” เพราะอาการทุเลาลงแทบจะทันที แต่รู้หรือไม่ว่า การฉีดยาเมื่อเก๊าท์กำเริบบ่อย ๆ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีในระยะยาว และอาจซ่อนความเสี่ยงต่อข้อ กระดูก และสุขภาพโดยรวมโดยที่คุณไม่รู้ตัว
 
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่า การฉีดยาเก๊าท์คืออะไร ใช้เมื่อไร เหมาะหรือไม่เหมาะกับใคร พร้อมสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณดูแลโรคเก๊าท์ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
 

สาเหตุและกลไกของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์เกิดจากอะไร?

 
โรคเก๊าท์ (Gout) เกิดจาก ระดับกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติ จนตกผลึกเป็นผลึกยูเรตสะสมในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน
 

ปัจจัยที่ทำให้เก๊าท์กำเริบ เช่น

  • รับประทานอาหารพิวรีนสูง (เครื่องใน หน่อไม้ เหล้า เบียร์)
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • ขาดน้ำ
  • ไม่กินยาลดกรดยูริกอย่างต่อเนื่อง
  • ความเครียด หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
 

ทำไมอาการถึงปวดรุนแรง?

 
เมื่อผลึกกรดยูริกกระตุ้นการอักเสบ ร่างกายจะตอบสนองอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการ
  • ปวดมากจนเดินไม่ได้
  • ข้อบวม แดง ร้อน
  • เจ็บแม้แค่ผ้าห่มสัมผัส
 

การฉีดยาเมื่อเก๊าท์กำเริบ คืออะไร?

การฉีดยาที่ใช้ในผู้ป่วยเก๊าท์กำเริบ มักเป็น
  • ยาสเตียรอยด์ (Steroid injection)
  • ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดเข้าข้อ
  • วัตถุประสงค์คือ ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดอย่างรวดเร็ว
 

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

เมื่อ “ฉีดยาแล้วดี แต่โรคยังไม่หาย”
 
แม้การฉีดยาจะทำให้อาการดีขึ้นเร็ว แต่มีสัญญาณเตือนที่ควรระวัง ได้แก่
 
❗ เก๊าท์กำเริบซ้ำบ่อยขึ้น
❗ ต้องฉีดยาทุกครั้งที่ปวด
❗ อาการดีขึ้นชั่วคราว แต่กลับมาเป็นใหม่
❗ ข้อเริ่มผิดรูป หรือเคลื่อนไหวได้น้อยลง
❗ ปวดหลายข้อพร้อมกัน
 
สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่า โรคกำลังเข้าสู่ระยะเรื้อรัง และอาจมีการทำลายข้อเกิดขึ้นแล้ว
 

ทำไม “ฉีดยาเก๊าท์” ไม่ได้ดีอย่างที่คิด

1. รักษาอาการ แต่ไม่แก้ที่ต้นเหตุ
    • การฉีดยา ไม่สามารถลดกรดยูริกในเลือดได้ จึงไม่หยุดการเกิดผลึกใหม่ในข้อ
2. เสี่ยงข้อเสื่อมและกระดูกบาง การฉีดสเตียรอยด์ซ้ำ ๆ อาจทำให้
    • กระดูกอ่อนเสื่อมเร็ว
    • ข้อพังเร็วขึ้น
    • เสี่ยงข้ออักเสบติดเชื้อ
3. กระทบสุขภาพระยะยาว
หากฉีดบ่อยหรือขนาดสูง อาจส่งผลต่อ
  • ความดันโลหิต
  • น้ำตาลในเลือด
  • ภูมิคุ้มกัน
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
 

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

แพทย์เฉพาะทางจะประเมินอย่างละเอียด เช่น
  • ซักประวัติอาการและความถี่ของการกำเริบ
  • ตรวจระดับกรดยูริกในเลือด
  • เอกซเรย์ หรือ MRI (ในรายที่สงสัยข้อเสียหาย)
  • ตรวจภาวะแทรกซ้อน เช่น ไต หรือข้อผิดรูป
การวินิจฉัยที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการรักษาเก๊าท์อย่างยั่งยืน
 

แนวทางการรักษาเก๊าท์ที่ถูกต้องและปลอดภัย

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (แนวทางหลัก)

  • ยาลดกรดยูริก เพื่อควบคุมโรคในระยะยาว
  • ยาลดการอักเสบ ตามข้อบ่งชี้ของแพทย์
  • ปรับพฤติกรรมการกิน
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ติดตามผลเลือดอย่างสม่ำเสมอ
 
การฉีดยาอาจใช้ได้ในบางกรณี ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น และไม่ควรใช้เป็นทางเลือกหลัก
 

การรักษาแบบผ่าตัด (กรณีจำเป็น)

ในผู้ป่วยที่มี
  • ข้อถูกทำลายรุนแรง
  • มีก้อนโทฟัส (Tophus) ขนาดใหญ่
  • อาจจำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัดเฉพาะราย
 

การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

  • หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง
  • งดหรือจำกัดแอลกอฮอล์
  • ดื่มน้ำวันละ 2–3 ลิตร
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง
  • ไม่หยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น
  • ตรวจสุขภาพเป็นระยะ

 

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • เก๊าท์กำเริบบ่อยกว่า 2–3 ครั้งต่อปี
  • ต้องพึ่งการฉีดยาเป็นประจำ
  • อาการปวดรุนแรงขึ้นหรือหลายข้อ
  • ข้อเริ่มผิดรูปหรือใช้งานลำบาก
 
การพบแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้
 
 
การฉีดยาเมื่อเก๊าท์กำเริบอาจช่วยบรรเทาอาการได้เร็ว แต่ ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ หากใช้โดยไม่วางแผนการรักษาระยะยาว อาจนำไปสู่ข้อเสื่อม ข้อพัง และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ การดูแลเก๊าท์อย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก คือการควบคุมกรดยูริกอย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *