โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ชายวัยทำงานและผู้สูงอายุ หลายคนรู้จักโรคนี้ในภาพจำว่า “ปวดข้อหัวแม่เท้า” แต่แท้จริงแล้วโรคเก๊าท์มีความซับซ้อนมากกว่านั้น ทั้งเรื่องระดับกรดยูริกในเลือด การอักเสบเฉียบพลัน และผลกระทบระยะยาวต่อข้อต่อต่าง ๆ หากไม่รีบรักษาหรือปรับพฤติกรรม โรคเก๊าท์อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรังและข้อผิดรูปได้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจโรคเก๊าท์แบบครบถ้วน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การตรวจ ไปจนถึงวิธีรักษาและป้องกันในชีวิตประจำวัน
สาเหตุและประเภทของโรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์เกิดจากระดับ กรดยูริกสูงในเลือด (Hyperuricemia) จนเกิดผลึกยูริกไปสะสมในข้อ ทำให้เกิดอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อนอย่างเฉียบพลัน ปัจจัยที่ทำให้กรดยูริกสูงมีหลายด้าน ดังนี้
สาเหตุจากภายในร่างกาย
- ร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าปกติ
- ไตขับกรดยูริกออกได้น้อย
- พันธุกรรมหรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์
- ฮอร์โมนบางชนิดส่งผลต่อการกำจัดกรดยูริก
สาเหตุจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์
- ทานอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ยอดผัก หน่อไม้ ถั่วเมล็ดแข็ง
- ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
- น้ำตาลฟรุกโตสสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน
- น้ำหนักเกินหรืออ้วน
- การอดอาหาร การขาดน้ำ
- ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
หากคุณมีอาการต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณของโรคเก๊าท์หรือกำลังจะกำเริบ:
- อาการชัดเจนของโรคเก๊าท์ (แบบเฉียบพลัน)
- ปวดข้อรุนแรงเฉียบพลัน โดยเฉพาะเวลากลางคืน
- บริเวณข้อบวม แดง ร้อน
- สัมผัสเบา ๆ ก็เจ็บ
- มักพบมากที่สุดที่ข้อหัวแม่เท้า แต่พบได้ที่ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อนิ้วมือ ข้อมือ
- อาการระยะยาว (เรื้อรัง)
- ปวดข้อเป็น ๆ หาย ๆ
- มีปุ่มก้อนโตฟัส (Tophi) ใต้ผิวหนัง
- ข้อเสื่อมหรือผิดรูป
- การเคลื่อนไหวติดขัด
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะวินิจฉัยโรคเก๊าท์โดยใช้หลายวิธีร่วมกัน ได้แก่:
- การตรวจเลือด เพื่อดูระดับกรดยูริก
- การตรวจน้ำไขข้อ เพื่อหาผลึกยูริก (กรณีจำเป็น)
- การวินิจฉัยจากอาการและประวัติ เช่น ปวดข้อเฉียบพลัน
- การถ่ายภาพรังสีหรืออัลตราซาวด์ข้อ เพื่อดูการอักเสบหรือผลึกสะสม
- การวินิจฉัยที่ถูกต้องช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ลดโอกาสเกิดข้อเสื่อมระยะยาว
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพชีวิตที่ดี
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
เป็นวิธีหลักในการดูแลผู้ป่วยโรคเก๊าท์ โดยเน้นการลดการอักเสบและควบคุมกรดยูริก
1. ยาแก้อักเสบและยาเฉพาะสำหรับโรคเก๊าท์
- ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs
- คอลชิซีน (Colchicine)
- สเตียรอยด์ (กรณีควบคุมอาการไม่ได้)
- ยาลดกรดยูริก เช่น Allopurinol, Febuxostat
2. การปรับพฤติกรรมและโภชนาการ
- หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง
- ลดแอลกอฮอล์และน้ำหวาน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ควบคุมน้ำหนัก
- เลือกทานโปรตีนจากพืชหรืออาหารไขมันต่ำ
3. การกายภาพบำบัด
ช่วยลดการตึงของข้อต่อ ลดการอักเสบ และป้องกันข้อเสื่อมเรื้อรัง
การรักษาแบบผ่าตัด (เฉพาะกรณีจำเป็น)
โดยทั่วไปโรคเก๊าท์ไม่ต้องผ่าตัด แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีข้อเสื่อมมาก ปุ่มโตฟัสขนาดใหญ่ หรือข้อติดจนต้องผ่าตัดเพื่อปรับสภาพข้อ
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
เคล็ดลับสำคัญที่ทำได้จริงในทุกวัน:
- ดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้ว
- ควบคุมน้ำหนัก ลดอาหารทอดหรือมัน
- หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลา, ยอดผัก, หน่อไม้
- เลือกทานอาหารที่ช่วยลดกรดยูริก เช่น นมหรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการอดอาหารหรือดื่มสุราหนัก
- หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือความดัน ควรควบคุมอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
คุณควรเข้าพบแพทย์หากมีอาการดังนี้:
- ปวดข้อรุนแรงเฉียบพลัน โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- ปวดข้อซ้ำหลายรอบ
- ข้อบวมแดงไม่ยุบภายใน 1–2 วัน
- มีปุ่มก้อนบริเวณข้อ
- ระดับกรดยูริกสูงแม้ปรับพฤติกรรมแล้ว
- ใช้ยาเองแล้วอาการไม่ดีขึ้น
โรคเก๊าท์ไม่ใช่โรคเล็กน้อยอย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นโรคที่ควบคุมและป้องกันได้ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การรู้สาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีดูแลข้อให้แข็งแรง คือกุญแจสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างสบาย ไม่ต้องกังวลกับอาการปวดข้อเฉียบพลันอีกต่อไป

