หลายคนอาจเคยได้ยินว่า “โรคเก๊าท์เกิดจากกรดยูริกสูง” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจว่าทำไมกรดยูริกถึงสูงขึ้นจนก่อปัญหา ความจริงแล้ว สาเหตุหลักคือ ร่างกายผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือไม่สามารถขับออกได้เพียงพอ โดยเฉพาะผ่านทางไต ส่งผลให้กรดยูริกตกผลึกสะสมตามข้อ จนเกิดการอักเสบ ปวด บวม และกลายเป็นโรคเก๊าท์ในที่สุด บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่สาเหตุ อาการ สัญญาณเตือน ไปจนถึงแนวทางการรักษาและการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี
สาเหตุและประเภทของภาวะกรดยูริกสูง
1. การผลิตกรดยูริกมากเกินไป
- เกิดจากร่างกายเผาผลาญสาร พิวรีน (Purine) ซึ่งมีอยู่ในอาหารและเซลล์ร่างกาย
- การรับประทานอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง อาหารทะเลบางชนิด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2. การขับกรดยูริกออกได้น้อย
- ไตทำงานบกพร่อง ไม่สามารถขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้ดี
- ภาวะดื่มน้ำน้อย ขาดน้ำ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคไตเรื้อรัง
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
หากร่างกายสะสมกรดยูริกมากเกินไป อาจแสดงอาการดังนี้
- ปวดข้อเฉียบพลัน มักเกิดตอนกลางคืน
- ข้อบวม แดง ร้อน กดเจ็บ โดยเฉพาะข้อหัวแม่เท้า ข้อเข่า หรือข้อเท้า
- เคลื่อนไหวลำบาก เนื่องจากอาการปวดรุนแรง
- หากเป็นเรื้อรัง อาจพบก้อน โทฟัส (Tophi) ที่ข้อนิ้ว ข้อศอก หรือใบหู
- ในบางรายมีนิ่วในไต หรืออาการไตเสื่อมร่วมด้วย
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโดย
- ซักประวัติอาการ ปัจจัยเสี่ยง และประวัติครอบครัว
- ตรวจร่างกายและตำแหน่งข้อที่อักเสบ
- ตรวจเลือดเพื่อดูระดับกรดยูริก
- ตรวจน้ำไขข้อเพื่อหาผลึกยูเรต (Urates)
- ตรวจการทำงานของไตร่วมด้วย
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- ยาลดอาการปวดและอักเสบ เช่น NSAIDs, Colchicine
- ยาลดระดับกรดยูริก เช่น Allopurinol, Febuxostat ใช้ในรายที่มีกรดยูริกสูงต่อเนื่อง
- กายภาพบำบัดและการพักข้อ ลดการอักเสบและช่วยให้ข้อฟื้นตัว
- การปรับพฤติกรรมการกิน เช่น ลดอาหารพิวรีนสูง ดื่มน้ำมากขึ้น
การรักษาแบบผ่าตัด (ในบางกรณี)
- ใช้ในผู้ป่วยที่มีก้อนโทฟัสขนาดใหญ่จนกดเบียดเส้นประสาทหรือจำกัดการเคลื่อนไหว
- ผู้ที่มีนิ่วในไตรุนแรงจนการรักษาแบบทั่วไปไม่ได้ผล
- การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
- ดื่มน้ำสะอาดวันละ 2–3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
- หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาซาร์ดีน ถั่วบางชนิด
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์และโรคไต
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่หักโหมเกินไป
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์หรือโรคไต
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- มีอาการปวดข้อเฉียบพลันและบวมแดงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง
- มีก้อนโทฟัสหรือนิ่วในไต
- มีอาการไตเสื่อมร่วมกับภาวะกรดยูริกสูง
ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกได้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หากละเลยอาจนำไปสู่ความเจ็บปวดเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนต่อไต การรู้เท่าทันอาการ สัญญาณเตือน และการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์