“หมูกระทะมื้อเย็นเมื่อคืน หรือแค่ส้มตำหน่อไม้ตอนบ่าย?” หากคุณกำลังเผชิญกับอาการปวดข้อ บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะบริเวณหัวแม่เท้า นั่นอาจไม่ใช่แค่อาการเหนื่อยล้าทั่วไป แต่อาจเป็นสัญญาณของ โรคเก๊าท์ ที่กำลัง “ฟ้อง” ว่าร่างกายได้รับ พิวรีนสูงเกินจำเป็น
หลายคนรู้ว่าอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และแอลกอฮอล์ คือตัวการกระตุ้นเก๊าท์ที่ควรเลี่ยง แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “อาหารจากพืช” เช่น ยอดผัก, หน่อไม้, และ ถั่วเมล็ดแข็ง ที่แม้ดูเฮลตี้ แต่ซ่อนพิวรีนไว้สูงไม่แพ้กัน!
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักอาหารแฝงพิวรีนสูงในกลุ่มพืช และแนวทางในการเลือกอาหารอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์
พิวรีนคืออะไร? ทำไมผู้ป่วยโรคเก๊าท์ต้องใส่ใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างพิวรีนกับกรดยูริก
พิวรีน (Purine) คือสารประกอบที่พบได้ทั้งในอาหารจากสัตว์และพืช เมื่อร่างกายย่อยพิวรีน จะเกิดผลพลอยได้คือ กรดยูริก ซึ่งหากมากเกินไป ร่างกายจะขับออกไม่หมด ทำให้กรดยูริกตกผลึกสะสมในข้อ เกิดอาการอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งก็คือ โรคเก๊าท์ (Gout)
ทำไมพืชบางชนิดถึงมีพิวรีนสูง?
แม้อาหารจากพืชจะไม่มีโปรตีนสูงเหมือนเนื้อสัตว์ แต่พืชบางชนิด โดยเฉพาะ ส่วนที่กำลังเจริญเติบโต เช่น ยอด, หน่อ, เมล็ด หรือถั่วแห้ง กลับมีพิวรีนสะสมอยู่มาก เนื่องจากเป็นจุดที่พืชใช้สร้างเซลล์และเติบโตอย่างรวดเร็ว
7 อาหารแฝงพิวรีนสูงจากพืช ที่ผู้ป่วยเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง
แม้จะไม่ใช่ “อาหารแสลง” ในความหมายทั่วไป แต่หากคุณเป็นผู้ป่วยโรคเก๊าท์หรือมีกรดยูริกสูง ควรพิจารณาลดหรืองดอาหารเหล่านี้
1. ยอดผักต่างๆ
เช่น ยอดกระถิน ยอดฟักแม้ว ยอดชะอม ยอดตำลึง
บางชนิดเช่น กระถินมีพิวรีนสูงมากถึง 150-200 มก./100 กรัม
2. หน่อไม้
ทั้งหน่อไม้ต้ม หน่อไม้ดอง และหน่อไม้สด
พบพิวรีนสูงระดับ 140-160 มก./100 กรัม
ยังมีสารกระตุ้นการอักเสบในบางราย
3. ถั่วเมล็ดแข็ง (ถั่วแห้ง)
เช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง
พิวรีนอยู่ในช่วง 120-150 มก./100 กรัม
โดยเฉพาะถั่วแห้งหรือถั่วอบกรอบ
4. เห็ดบางชนิด
เช่น เห็ดฟาง เห็ดหอมแห้ง เห็ดนางรมหลวง
แม้เป็นผัก แต่มีพิวรีนในระดับปานกลางถึงสูง
5. ผักโขม-ปวยเล้ง
มีพิวรีนระดับกลาง แต่หากทานบ่อยอาจสะสมได้
6. งาดำ งาขาว
แม้จะมีประโยชน์ แต่ก็มีพิวรีนแฝงระดับปานกลาง
7. เมล็ดธัญพืชบางชนิด
เช่น เมล็ดฟักทอง, เมล็ดทานตะวัน, ควินัว ฯลฯ
การวินิจฉัย: รู้ก่อน พิชิตเก๊าท์ได้
การตรวจระดับกรดยูริกในเลือด (Uric Acid) เป็นวิธีหลักที่แพทย์ใช้เพื่อวินิจฉัยโรคเก๊าท์ ร่วมกับการซักประวัติอาหาร การตรวจข้อ หรือการเจาะน้ำในข้อกรณีที่มีการอักเสบเฉียบพลัน
แนวทางการรักษา: ลดยูริก ควบคุมอาหาร และดูแลระยะยาว
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- ยาลดกรดยูริก: เช่น Allopurinol, Febuxostat
- ยาต้านอักเสบ: NSAIDs, Colchicine
- การปรับพฤติกรรม: ควบคุมอาหาร, ดื่มน้ำมากขึ้น, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การรักษาแบบผ่าตัด (ในรายที่มีโทฟัสขนาดใหญ่)
ผ่าตัดเพื่อเอาก้อนยูเรตที่สะสมในข้อหรือใต้ผิวหนังออก
การดูแลตัวเองและการป้องกันโรคเก๊าท์ในชีวิตประจำวัน
ผู้ป่วยสามารถลดความถี่ของการกำเริบ และชะลอภาวะแทรกซ้อนได้ ด้วยการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
5 ข้อควรทำ:
✅ ดื่มน้ำวันละ 2–3 ลิตร เพื่อขับกรดยูริก
✅ เลือกอาหารพิวรีนต่ำ เช่น ผักใบเขียว, ข้าวกล้อง, ผลไม้ที่ไม่หวานจัด
✅ ควบคุมน้ำหนัก ลดภาวะอ้วน
✅ หมั่นออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอ
✅ พบแพทย์เพื่อติดตามระดับยูริกเป็นระยะ
5 ข้อที่ควรเลี่ยง:
❌ หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์, ยอดผัก, ถั่วเมล็ดแข็ง
❌ งดแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์
❌ เลี่ยงน้ำตาลฟรุกโตส (ในน้ำอัดลม)
❌ ไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
❌ งดการอดอาหารหรือไดเอตแบบเร่งรัด
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์?
- ปวดข้อบวมแดงเฉียบพลัน โดยเฉพาะข้อเดียว เช่น หัวแม่เท้า
- ปวดซ้ำบริเวณเดิมมากกว่า 1 ครั้ง
- ตรวจพบกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ (>7.0 mg/dL)
- มีข้อจำกัดในการใช้ข้อหรือเริ่มมีก้อนใต้ผิวหนัง
แม้ “ยอดผัก หน่อไม้ ถั่วเมล็ดแข็ง” จะดูเหมือนอาหารสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะเก๊าท์หรือกรดยูริกสูง อาหารเหล่านี้อาจเป็นภัยเงียบที่กระตุ้นอาการได้โดยไม่รู้ตัว การเลือกอาหารอย่างรู้เท่าทัน ร่วมกับการดูแลสุขภาพโดยรวม คือกุญแจสำคัญในการควบคุมโรคเก๊าท์ให้อยู่หมัด
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์