fbpx

ไม่อยากเป็นเก๊าท์ แต่ได้สืบทอดทางพันธุกรรมมา

“โรคเก๊าท์” เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะที่ข้อหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า หลายคนกังวลว่า หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นเก๊าท์ ตัวเองก็อาจหนีไม่พ้น ซึ่ง ความจริงคือพันธุกรรมเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยเสี่ยง แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพก็มีผลมากเช่นกัน
 
บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจว่า ทำไมพันธุกรรมจึงมีผลต่อโรคเก๊าท์ พร้อมแนวทางการดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยง แม้คุณจะ “สืบทอดยีน” มา แต่ก็สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคได้
 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์

ปัจจัยทางพันธุกรรม

 
งานวิจัยพบว่าคนที่มี ประวัติครอบครัวเป็นเก๊าท์ มีโอกาสเกิดโรคสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากยีนบางชนิดมีผลต่อการขับกรดยูริกทางไต ทำให้ร่างกายกำจัดกรดยูริกได้น้อยกว่าปกติ
 

ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

  • แม้จะไม่ได้สืบทอดพันธุกรรม แต่พฤติกรรมบางอย่างก็เพิ่มความเสี่ยง เช่น:
  • การรับประทานอาหารที่มี พิวรีนสูง (เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล น้ำซุปกระดูก)
  • การดื่ม แอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
  • ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน
  • โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
  • การใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการขับกรดยูริก
 

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

 
อาการเก๊าท์มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยมีสัญญาณเตือนดังนี้:
  • ปวดข้อรุนแรงทันที มักเกิดตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด
  • ข้อบวม แดง ร้อน กดเจ็บมาก โดยเฉพาะที่หัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า
  • อาการปวดทุเลาลงเองภายใน 5–7 วัน แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
  • หากปล่อยไว้เรื้อรัง จะเกิดก้อนยูริก (Tophi) ตามข้อ เอ็น หรือใบหู
  • กระดูกและข้ออาจถูกทำลายจนผิดรูป
 

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

แพทย์จะประเมินจากประวัติ อาการ และตรวจร่างกาย โดยอาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น:
  • ตรวจเลือด เพื่อวัดระดับกรดยูริก
  • การเจาะน้ำในข้อ เพื่อตรวจหาผลึกยูริก (เป็นการยืนยันการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด)
  • เอกซเรย์หรืออัลตราซาวด์ข้อ เพื่อดูความเสียหายของข้อ
 

แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

  • การใช้ยา: ยาแก้อักเสบลดปวด (NSAIDs), คอร์ติโคสเตียรอยด์, ยาลดระดับกรดยูริก (Allopurinol, Febuxostat)
  • กายภาพบำบัด: ช่วยฟื้นฟูข้อและกล้ามเนื้อรอบข้อให้แข็งแรง
  • ปรับพฤติกรรมการกิน: ลดอาหารพิวรีนสูง ดื่มน้ำมากขึ้น
  • ควบคุมน้ำหนัก: ลดความเสี่ยงของโรคร่วมและภาระต่อข้อ
 

การรักษาแบบผ่าตัด (ในกรณีจำเป็น)

  • ผ่าตัดเอาก้อนยูริก (Tophi) ออก หากก้อนมีขนาดใหญ่และรบกวนการใช้ชีวิต
  • ผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนข้อ (กรณีข้อถูกทำลายรุนแรง)
 

การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

แม้คุณจะมีพันธุกรรมเสี่ยง แต่ก็สามารถลดโอกาสเกิดเก๊าท์ได้ด้วยการปรับพฤติกรรม ดังนี้:
  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2–3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริก
  • จำกัดอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด น้ำซุปข้น
  • เลือกโปรตีนจากเนื้อขาว (ไก่ ปลา) และถั่วบางชนิดที่พิวรีนต่ำ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ และน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ตรวจระดับกรดยูริกในเลือดเป็นประจำ หากมีประวัติครอบครัวเป็นเก๊าท์
 

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • เริ่มมีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลัน
  • ระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ
  • ข้อบวมแดงซ้ำๆ หรืออาการไม่หายขาด
  • มีก้อนยูริกหรือข้อผิดรูป มีโรคร่วม เช่น ความดันสูง เบาหวาน หรือโรคไต

แม้พันธุกรรมจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เราเลือกไม่ได้ แต่ วิธีการใช้ชีวิตคือสิ่งที่เราควบคุมได้ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ดื่มน้ำมากขึ้น ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเก๊าท์ได้อย่างมาก

 

ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”

โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *