fbpx

โรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเก๊าท์: รู้เท่าทัน ป้องกันได้ก่อนสายเกินไป

 
เมื่อพูดถึงโรคเก๊าท์ หลายคนมักนึกถึงอาการปวดข้อ บวม แดง และเคลื่อนไหวยาก แต่จริงๆ แล้วโรคนี้มีมากกว่าที่คิด เพราะหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องหรือปล่อยให้อาการกำเริบซ้ำๆ ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเกิด โรคแทรกซ้อน ที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ การรู้เท่าทันโรคแทรกซ้อนเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพ ป้องกันความเสี่ยง และรักษาได้ทันท่วงที
 

สาเหตุและประเภทของโรคเก๊าท์

ทำไมถึงเกิดโรคเก๊าท์?

โรคเก๊าท์เกิดจากการสะสมของ กรดยูริก ในเลือดจนสูงเกินไป และตกผลึกในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ สาเหตุหลัก ได้แก่
 
  • การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ความผิดปกติทางพันธุกรรม ที่ทำให้ร่างกายกำจัดกรดยูริกได้ยากขึ้น
  • โรคประจำตัว เช่น โรคไตเรื้อรัง, โรคอ้วน, ความดันโลหิตสูง
 

ประเภทของโรคเก๊าท์

  • เก๊าท์เฉียบพลัน: ปวดข้อแบบเฉียบพลัน มักเกิดที่หัวแม่เท้า
  • เก๊าท์เรื้อรัง: เกิดจากการอักเสบซ้ำๆ จนข้อเสียหาย และอาจเกิดก้อนโทฟัส (Tophi)
 

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักมีอาการชัดเจน ได้แก่
  • ปวดข้อรุนแรง โดยเฉพาะข้อหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า
  • ข้อบวม แดง ร้อน และเจ็บมาก
  • ขยับข้อได้ยาก
  • ในรายที่เรื้อรัง อาจมี ก้อนโทฟัส เกิดขึ้นรอบข้อหรือเอ็น
  • หากปล่อยไว้นาน อาจพบปัญหาในระบบไตและหัวใจร่วมด้วย
 

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

แพทย์จะสอบถามประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดวัดระดับกรดยูริก และอาจทำการตรวจน้ำในข้อเพื่อหาผลึกกรดยูริก นอกจากนี้ การเอกซเรย์หรืออัลตราซาวด์สามารถช่วยประเมินความเสียหายของข้อและตรวจหาก้อนโทฟัสได้
 
 

แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

  • การใช้ยาแก้อักเสบ ลดปวด เช่น NSAIDs
  • ยาลดกรดยูริก เพื่อลดการสะสมในร่างกาย
  • การปรับพฤติกรรม เช่น ลดอาหารพิวรีนสูง ลดน้ำหนัก และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • การทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหว
 

การรักษาแบบผ่าตัด

หากพบก้อนโทฟัสขนาดใหญ่ หรือข้อถูกทำลายมาก อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเอาก้อนออกหรือซ่อมแซมข้อ เพื่อป้องกันการกดทับเส้นประสาทหรือเส้นเลือด
 

การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน

เคล็ดลับป้องกันโรคแทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์
  • ควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดให้เหมาะสม
  • ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน
  • รับประทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง
  • หลีกเลี่ยงอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนัก
  • ตรวจสุขภาพ และติดตามระดับกรดยูริกกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง
 

โรคแทรกซ้อนที่ควรระวัง

  • นิ่วในไต    ระดับกรดยูริกสูงอาจตกผลึกในไต กลายเป็นนิ่ว ส่งผลให้ปวดหลัง ปัสสาวะขัด หรือมีเลือดปน
  • โรคไตเรื้อรัง   การสะสมของกรดยูริกอาจทำลายการทำงานของไต นำไปสู่ไตวายได้
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด  ผู้ป่วยเก๊าท์มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง
  • ข้อผิดรูปหรือข้อเสื่อม  เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง ทำให้ข้อเสียหาย เคลื่อนไหวลำบาก หรือผิดรูป
  • ภาวะโทฟัส (Tophi)  ก้อนกรดยูริกสะสมรอบข้อ เอ็น หรือใต้ผิวหนัง อาจกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการชา หรือปวดเรื้อรัง
 

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • ปวดข้อรุนแรงจนขยับไม่ได้
  • พบก้อนผิดปกติรอบข้อหรือใต้ผิวหนัง
  • มีอาการไตวาย เช่น ปัสสาวะน้อย บวมตามขา หรือเหนื่อยง่าย
  • มีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรืออาการหลอดเลือดอุดตัน
  • มีไข้หรืออาการอักเสบทั่วร่างกาย
 
 
โรคเก๊าท์ไม่ใช่แค่เรื่องปวดข้อ แต่หากปล่อยไว้นาน อาจนำไปสู่ โรคแทรกซ้อน ที่ร้ายแรงได้ การตรวจวินิจฉัย การดูแลตัวเอง และการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงและยืดอายุข้อ รวมถึงอวัยวะสำคัญอื่นๆ การรู้ทันและไม่ละเลยอาการผิดปกติ คือกุญแจสำคัญสู่สุขภาพที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี
 
 
หากคุณหรือคนในครอบครัวมีอาการปวดข้อ หรือสงสัยว่าเป็นโรคเก๊าท์ อย่ารอช้า! 
ปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ คลินิกหมอสุทธิ์ วันนี้ เพื่อรับการดูแลอย่างถูกต้อง ป้องกันโรคแทรกซ้อน และฟื้นฟูสุขภาพของคุณให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
 

ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”

โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *