fbpx

กินอะไรแล้วเก๊าท์กำเริบ? สิ่งที่ผู้ป่วยควรรู้เพื่อหลีกเลี่ยงอาการกำเริบ

“กินอะไรแล้วเก๊าท์กำเริบ?” เป็นคำถามยอดฮิตของคนไข้ที่เผชิญกับโรคเก๊าท์ อาการปวดข้อ บวม แดง ร้อนที่มักเกิดขึ้นเฉียบพลัน อาจสัมพันธ์โดยตรงกับอาหารที่เรารับประทาน เนื่องจากอาหารบางชนิดมี สารพิวรีน (Purine) สูง เมื่อร่างกายย่อยสลายจะกลายเป็นกรดยูริก ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นอาการเก๊าท์ให้ปะทุได้
 
บทความนี้ คลินิกหมอสุทธิ์ จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่าอาหารชนิดใดที่ควรหลีกเลี่ยง วิธีเลือกกินอย่างเหมาะสม และแนวทางดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงในการกำเริบของโรค
 

สาเหตุและประเภทของอาหารที่กระตุ้นเก๊าท์

1. อาหารที่มีพิวรีนสูงมาก
  • เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต สมอง หัวใจ
  • อาหารทะเลบางชนิด เช่น ปลาซาร์ดีน กุ้ง หอย ปู ปลาแอนโชวี
  • เนื้อสัตว์แดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ
  • อาหารกลุ่มนี้ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
 
2. ผักบางชนิดที่ต้องระวัง
  • แม้ผักส่วนใหญ่จะดีต่อสุขภาพ แต่มีบางชนิดที่มีพิวรีนสูง เช่น
  • ยอดผักบางชนิด เช่น ยอดฟักทอง ยอดกระถิน
  • หน่อไม้
  • เห็ดบางประเภท
 
3. ถั่วและเมล็ดพืชแข็ง
  • ถั่วลิสง เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ
  • อาจกระตุ้นให้กรดยูริกสูงขึ้นได้หากทานมากเกินไป
 
4. เครื่องดื่มและอาหารแปรรูป
  • แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ → มีพิวรีนสูงและทำให้ร่างกายขับกรดยูริกได้น้อยลง
  • น้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีฟรุกโตสสูง → เพิ่มการสร้างกรดยูริกในร่างกาย
 

อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้

 
หากเผลอรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง ผู้ป่วยเก๊าท์อาจมีอาการดังนี้
  • ปวดข้ออย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะ โคนหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า
  • ข้อบวม แดง ร้อน และกดเจ็บ
  • บางรายมีไข้ต่ำร่วมด้วย
  • อาการมักเกิดขึ้นกลางคืนหรือหลังรับประทานอาหารที่กระตุ้น

 

การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น

หากสงสัยว่าเป็นโรคเก๊าท์หรือมีอาการกำเริบบ่อย ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ โดยวิธีที่ใช้บ่อย ได้แก่
  • การตรวจเลือด → วัดระดับกรดยูริกในเลือด
  • การเจาะน้ำในข้อ → ตรวจหาผลึกกรดยูริก (ในรายที่จำเป็น)
  • เอกซเรย์ข้อ → ประเมินความเสียหายของข้อหากเป็นเรื้อรัง

แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี

การรักษาแบบไม่ใช้การผ่าตัด
  • ยาลดอาการอักเสบและปวดข้อ เช่น NSAIDs หรือคอร์ติโคสเตียรอยด์ (ตามดุลยพินิจแพทย์)
  • ยาลดกรดยูริก เช่น Allopurinol, Febuxostat เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในระยะยาว
  • กายภาพบำบัด → ช่วยลดอาการเจ็บข้อและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ
  • การปรับพฤติกรรมการกิน → หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นเก๊าท์
 
การรักษาแบบผ่าตัด (ในบางกรณี)
 
ใช้ในผู้ป่วยที่ข้อถูกทำลายรุนแรง มี โทฟัส (Tophi) ขนาดใหญ่ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบทั่วไป
  • การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
  • เลือกทานอาหารพิวรีนต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ไข่ นม และผักทั่วไป
  • ดื่มน้ำสะอาดวันละ 2–3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริกออกทางไต
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
  • ลดการทานอาหารทะเลและเครื่องในสัตว์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่หักโหม
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?
  • เมื่อมีอาการปวดข้อกำเริบบ่อยเกิน 2–3 ครั้งต่อปี
  • มีอาการปวดข้อรุนแรง บวม แดง จนเคลื่อนไหวลำบาก
  • ระดับกรดยูริกสูงแม้ควบคุมอาหารแล้ว
  • มีภาวะแทรกซ้อน เช่น นิ่วในไต
 
 
การเลือกกินอาหารอย่างถูกต้องมีบทบาทสำคัญในการควบคุมโรคเก๊าท์ อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ง่าย เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล หน่อไม้ และถั่วเมล็ดแข็ง ดังนั้นผู้ป่วยควรใส่ใจเลือกอาหาร หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และดูแลสุขภาพโดยรวมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

 

ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”

โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *