หลายคนอาจเข้าใจว่า โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว คนอายุน้อยก็สามารถมีความเสี่ยงได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือพันธุกรรมที่เอื้อให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูง โรคเก๊าท์เกิดจากการสะสมของกรดยูริกจนตกผลึกในข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง และอักเสบอย่างเฉียบพลัน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะข้อเสื่อมเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้
บทความนี้คลินิกหมอสุทธิ์จะพาคุณทำความเข้าใจว่า ทำไมคนอายุน้อยก็เสี่ยงโรคเก๊าท์ได้ พร้อมทั้งแนะนำวิธีป้องกัน ดูแลตัวเอง และสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์ในคนอายุน้อย
แม้อายุจะยังไม่มาก แต่หากมีปัจจัยต่อไปนี้ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์ได้
1. พันธุกรรม
- หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเก๊าท์ ระดับกรดยูริกในเลือดมักสูงกว่าคนทั่วไป
- พบได้บ่อยในผู้ชายอายุ 20–40 ปีที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
2. พฤติกรรมการกินและดื่ม
- การรับประทานอาหารที่มี พิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล น้ำซุปเข้มข้น หน่อไม้ หรือถั่วเมล็ดแข็ง
- การดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งมีสารพิวรีนสูงและขัดขวางการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
- เครื่องดื่มหวานที่มี ฟรุกโตสสูง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้น
3. โรคประจำตัวและการใช้ยา
- โรคไตเรื้อรัง, ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน หรือโรคอ้วน
- ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) อาจทำให้กรดยูริกคั่งในร่างกาย
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
โรคเก๊าท์ในคนอายุน้อยมักถูกมองข้าม เพราะคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่หากมีอาการต่อไปนี้ ควรระวังเป็นพิเศษ:
- ปวดข้ออย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า
- ข้อบวม แดง ร้อน กดเจ็บมาก
- ปวดข้อกลางคืนหรือตอนเช้าแบบกะทันหัน
- มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ หากปล่อยไว้จะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
- ในบางรายอาจพบก้อนยูริก (Tophi) ใต้ผิวหนัง เมื่อโรคเป็นมานาน
ข้อควรจำ: หากมีอาการเหล่านี้ในวัย 20–40 ปี อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ควรเข้าพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะใช้วิธีการดังนี้ในการวินิจฉัยโรคเก๊าท์:
- การซักประวัติอาการและประวัติครอบครัว
- ตรวจเลือดเพื่อดูระดับ กรดยูริก (Uric Acid)
- การตรวจน้ำไขข้อเพื่อหาผลึกยูริก
- ในบางรายอาจทำ อัลตราซาวด์ข้อ หรือเอกซเรย์ เพื่อประเมินความเสียหายของข้อ
แนวทางการรักษา: ทางเลือกเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- ยาแก้อักเสบ เพื่อลดอาการปวดและบวม
- ยาลดกรดยูริก สำหรับผู้ที่มีอาการซ้ำหรือกรดยูริกสูงเรื้อรัง
- การปรับพฤติกรรม เช่น ลดอาหารพิวรีนสูง ดื่มน้ำมาก ๆ ลดน้ำหนัก และงดแอลกอฮอล์
- กายภาพบำบัด เพื่อเสริมความแข็งแรงของข้อและป้องกันการอักเสบซ้ำ
2. การรักษาแบบผ่าตัด
- พบไม่บ่อย มักใช้ในผู้ป่วยที่มี ก้อนยูริกขนาดใหญ่ กดเบียดเส้นประสาทหรือข้อติดแข็ง
- การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
- เพื่อป้องกันไม่ให้โรคเก๊าท์กำเริบหรือเกิดขึ้นตั้งแต่อายุน้อย ควรปฏิบัติดังนี้:
- ดื่มน้ำวันละ 2–3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริก
- ลดหรือเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล หน่อไม้ ถั่วเมล็ดแข็ง
- งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่หักโหม
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะระดับกรดยูริก
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- มีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลันรุนแรง
- อาการปวดซ้ำบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ
- พบก้อนยูริกใต้ผิวหนัง
- มีโรคประจำตัว เช่น ไต ความดัน เบาหวาน ร่วมด้วย
- การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ระยะแรก จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงข้อเสื่อม และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต
แม้อายุยังน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากโรคเก๊าท์เสมอไป ปัจจัยอย่างพันธุกรรม พฤติกรรมการกิน การดื่ม และสุขภาพโดยรวมล้วนมีบทบาทสำคัญ การตระหนักรู้และใส่ใจตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและดูแลข้อให้แข็งแรงในระยะยาว