“โรคเก๊าท์” เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะที่ข้อหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า หลายคนกังวลว่า หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นเก๊าท์ ตัวเองก็อาจหนีไม่พ้น ซึ่ง ความจริงคือพันธุกรรมเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยเสี่ยง แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพก็มีผลมากเช่นกัน
บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจว่า ทำไมพันธุกรรมจึงมีผลต่อโรคเก๊าท์ พร้อมแนวทางการดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยง แม้คุณจะ “สืบทอดยีน” มา แต่ก็สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์
ปัจจัยทางพันธุกรรม
งานวิจัยพบว่าคนที่มี ประวัติครอบครัวเป็นเก๊าท์ มีโอกาสเกิดโรคสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากยีนบางชนิดมีผลต่อการขับกรดยูริกทางไต ทำให้ร่างกายกำจัดกรดยูริกได้น้อยกว่าปกติ
ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- แม้จะไม่ได้สืบทอดพันธุกรรม แต่พฤติกรรมบางอย่างก็เพิ่มความเสี่ยง เช่น:
- การรับประทานอาหารที่มี พิวรีนสูง (เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล น้ำซุปกระดูก)
- การดื่ม แอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
- ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน
- โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
- การใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการขับกรดยูริก
อาการและสัญญาณเตือนที่คุณควรรู้
อาการเก๊าท์มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยมีสัญญาณเตือนดังนี้:
- ปวดข้อรุนแรงทันที มักเกิดตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด
- ข้อบวม แดง ร้อน กดเจ็บมาก โดยเฉพาะที่หัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า
- อาการปวดทุเลาลงเองภายใน 5–7 วัน แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
- หากปล่อยไว้เรื้อรัง จะเกิดก้อนยูริก (Tophi) ตามข้อ เอ็น หรือใบหู
- กระดูกและข้ออาจถูกทำลายจนผิดรูป
การวินิจฉัยและการตรวจเบื้องต้น
แพทย์จะประเมินจากประวัติ อาการ และตรวจร่างกาย โดยอาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น:
- ตรวจเลือด เพื่อวัดระดับกรดยูริก
- การเจาะน้ำในข้อ เพื่อตรวจหาผลึกยูริก (เป็นการยืนยันการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด)
- เอกซเรย์หรืออัลตราซาวด์ข้อ เพื่อดูความเสียหายของข้อ
แนวทางการรักษา: ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อสุขภาพที่ดี
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- การใช้ยา: ยาแก้อักเสบลดปวด (NSAIDs), คอร์ติโคสเตียรอยด์, ยาลดระดับกรดยูริก (Allopurinol, Febuxostat)
- กายภาพบำบัด: ช่วยฟื้นฟูข้อและกล้ามเนื้อรอบข้อให้แข็งแรง
- ปรับพฤติกรรมการกิน: ลดอาหารพิวรีนสูง ดื่มน้ำมากขึ้น
- ควบคุมน้ำหนัก: ลดความเสี่ยงของโรคร่วมและภาระต่อข้อ
การรักษาแบบผ่าตัด (ในกรณีจำเป็น)
- ผ่าตัดเอาก้อนยูริก (Tophi) ออก หากก้อนมีขนาดใหญ่และรบกวนการใช้ชีวิต
- ผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนข้อ (กรณีข้อถูกทำลายรุนแรง)
การดูแลตัวเองและการป้องกันในชีวิตประจำวัน
แม้คุณจะมีพันธุกรรมเสี่ยง แต่ก็สามารถลดโอกาสเกิดเก๊าท์ได้ด้วยการปรับพฤติกรรม ดังนี้:
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2–3 ลิตร เพื่อช่วยขับกรดยูริก
- จำกัดอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด น้ำซุปข้น
- เลือกโปรตีนจากเนื้อขาว (ไก่ ปลา) และถั่วบางชนิดที่พิวรีนต่ำ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ และน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ตรวจระดับกรดยูริกในเลือดเป็นประจำ หากมีประวัติครอบครัวเป็นเก๊าท์
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- เริ่มมีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลัน
- ระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ
- ข้อบวมแดงซ้ำๆ หรืออาการไม่หายขาด
- มีก้อนยูริกหรือข้อผิดรูป มีโรคร่วม เช่น ความดันสูง เบาหวาน หรือโรคไต
แม้พันธุกรรมจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เราเลือกไม่ได้ แต่ วิธีการใช้ชีวิตคือสิ่งที่เราควบคุมได้ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ดื่มน้ำมากขึ้น ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเก๊าท์ได้อย่างมาก
ช่องทางติดต่อ
“คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์”
โทร : 061-010-6396
LINE : @drsuttclinic (อย่าลืมใส่ @)
Facebook : คลินิกกระดูกและข้อ หมอสุทธิ์

