ปัจจุบันนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องทุกข์ทรมาณกับความเจ็บปวดด้วยโรคเก๊าท์ แต่ในสมัยก่อนนั้น เคยมีผู้เรียกโรคเก๊าท์ว่าเป็น disease of king เป็นการเปรียบเปรยว่า เป็นโรคของกลุ่มคนที่กินดีอยู่ดีมากเกินไป ทุกวันนี้ คนเรากินดีอยู่ดีกันมากขึ้น โรคเก๊าท์ก็มากขึ้นตามไปด้วย
อาการของโรคเก๊าท์ เกิดขึ้นเมื่อกรดยูริค ซึ่งเป็นสารเคมีในร่างกายของเรา มีปริมาณมากเกินไป และไปจับตัวกันบริเวณข้อต่อของร่างกาย เมื่อมากเกินไป ก็เกิดการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวดตามข้อ บางครั้งก็มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ มีอาการคล้าย ๆ กับไข้หวัด
ในปี 2012 ARC หรือ American College of Rueumatology ได้กล่าวถึงแนวทางในการป้องกันและดูแลโรคเก๊าท์ว่า ผู้ที่มีความเสี่ยง ควรทราบถึงกุญแจสำคัญในการควบคุมโรคคือ ต้องรักษาระดับกรดยูริคไว้ไม่ให้เกิน 6.0 mg/dL ยิ่งผู้ป่วยรายใด มีอาการของโรคกำเริบขึ้นบ่อย ก็ยิ่งต้องรักษาระดับกรดดังกล่าว
นอกจากการรู้ตัวเลขระดับกรดในร่างกายที่ควรจะต้องรักษาไว้นี้ ผู้ป่วยควรจะต้องรู้วิธีป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ โดยเคร่งครัดในเรื่องของการรับประทานอาการ ดังนี้
ต้องทราบว่าควรจะหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดบ้าง
โดยอาหารที่ควรจะต้องหลีกเลี่ยง ได้แก่
- อาการที่มีน้ำตาลฟลุกโตสสูง
- เครื่องในสัตว์
- การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไป
ส่วนอาการที่ควรจะจำกัด หรือลดปริมาณการรับประทาน ได้แก่ - เนื้อสัตว์ปีก และอาหารทะเล ในปริมาณมาก
- น้ำผลไม้รสหวาน
- น้ำตาล ของหวาน และเกลือ
- ผักบางชนิดที่มีปริมาณยูริคมาก
อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ - อาหารจำพวกนมเนยไขมันต่ำ
- โปรตีนจากพืช
การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่าง ก็มีความสำคัญต่อการควบคุมโรคเช่นกัน คือ - หากเป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักมากเกินไป ควรจะลดน้ำหนัก
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากการเลือกรับประทานอาหาร และการปรับพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตให้เหมาะสมแล้ว การพบแพทย์ และการรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ก็มีความจำเป็นในการควบคุมอาการของโรคไม่ให้กำเริบเช่นกัน ผู้ป่วยบางรายต้องรับประทานยาลดปริมาณยูริค แต่ไม่ทุกคน โดยมากแล้ว ยาดังกล่าวจะใช้กับผู้ป่วยที่มีปริมาณยูริคในเลือดสูงมาก ส่วนผู้ที่มีอาการกำเริบบ่อย ก็อาจจะต้องใช้ยาเพื่อลดการอักเสบด้วยเช่นกัน